วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

ไฟใต้..CIAก่อการร้าย..วินาศกรรมไทย ?


หน่วยข่าวCTIC

16Jan12

ภารกิจลับ
Posted on กุมภาพันธ์ 15, 2011 by mekaje

ชวน กับ อดีต รมต. ต่างประเทศ สุรินทร์ นำขบวนการต่อต้านผู้ก่อการร้ายมาจัดการโจรใต้ นามciaแต่ไทยใช้ctic

ชวน หลีกภัย  สุรินทร์ พิศสุวรรณ

รายงานขนาด 6 หน้าชิ้นนี้มีขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 เป็นการฉายภาพรวมการทำงานต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลอเมริกันทั่วโลก โดยมีเรื่อง CTIC รวมอยู่ด้วยส่วนหนึ่งในหน้า 3 ภายใต้หัวข้อ

“CIA, Thai Agencies Unite to Root Out Al Qaeda”  หน่วยงานต่อต้านก่อการร้ายอเมริกา

CTIC (Counter Terrorist Intelligence Center )ศูนย์ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายไทย

ตั้งขึ้นในช่วงต้นปี 2544

หน่วยนี้สร้างความตระหนกให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” รองนายกรัฐมนตรี ที่ถึงกับยอมรับว่าไม่เคยทราบมาก่อน ก็คือรายงานจากหน่วย CSIS.หรือ “ศูนย์เพื่อยุทธวิธีและการศึกษานานาชาติ” ที่มี “จอห์น เจ.ฮัมรี” อดีตรองเลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เป็นผู้ก่อตั้ง มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซี.หลุดรอดรายงานฉบับหนึ่งออกมา โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลไทยพยายามปกปิดการจัดตั้ง “องค์กรลับ” องค์กรหนึ่งชื่อ CTIC หรือ “ศูนย์ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้าย”ที่ได้รับการสนับสนุนจาก CIA.ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว(คศ.๒๐๐๑:พ.ศ.๒๕๔๔)

รายงานของ CSISระบุว่า การตั้งศูนย์ CTIC ในภาคใต้เพื่อต่อต้านกลุ่ม JI และ อัลกออิดะห์ โดยมี CIA เป็นผู้วางโครงสร้าง ให้เงินทุนสนับสนุน และวางแผนการปฏิบัติงาน นอกจากนี้แล้วตำรวจและทหารไทยที่เกี่ยวข้องก็อยู่ภายใต้การบัญชาการโดยตรงของ CIA.

หมอแว‘อดีตผู้ต้องหาคดีเจไอสส นราธิวาสกษิต ภิรมย์

@@สงสัยCTICพันไฟใต้

รายงานจากหน่วยข่าวกรองไทย ระบุว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของหน้วยงานลับดังกล่าว ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานสูงมาก โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ CTIC ยังประสบความสำเร็จจากการจับ” นายฮัมบาลี” ที่อยุธยาด้วย ขณะเดียวกันลักษณะการเกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ตามการวิเคราะห์ของหน่วยข่าวกรองพบว่ามีความผิดปกติและมักสอดรับกับสถานการณ์นอกประเทศอย่างจงใจ

ทั้งนี้ รายงานลับจากหน่วยข่าวกรองไทย ระบุด้วยว่า การตั้งศูนย์ CTIC ส่งผลกระทบต่อพื้นที่และสังคมของชาวบ้านในภาคใต้ จึงไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของรัฐบาลไทยแต่อย่างใด นอกจากนี้การกระทำต่างๆ ของศูนย์ CTIC อาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน เช่นนโยบายไล่ล่า และกักขังชาวบ้านมุสลิมที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านสหรัฐ โดยเจ้าหน้าที่ CTIC สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ เพราะการทำงานของหน่วยงาน CIA ใน สงครามก่อการร้าย นั้นไม่ได้อยู่ในกรอบของกฎหมายไทยหรือแม้แต่กฎเกณฑ์ของ ข้อตกลง เจนีวา.เมื่อถูกจับกุมแล้ว ผู้ต้องหา ไม่มีสิทธิที่จะหารือกับทนายทั้งสิ้น แม้ว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม โดยรายงานได้อ้าง กรณี “นายจาเมา” นักโทษ “สงครามก่อการร้าย” ที่ “กัวตานาโม”ที่ถูกทารุณกรรมให้รับสารภาพด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่”พล.อ.ชวลิต”และ”พ.ต.ท.ทักษิณ”จะมึนงงกับ”องค์กรลับ”ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในห้วงปีที่รัฐบาลเข้ารับหน้าที่ แม้”นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ”อดีต รมว.ต่างประเทศ จะปฏิเสธเช่นกันว่าไม่รู้เรื่อง แต่หากพิเคราะห์ในรายละเอียดลงไปมากกว่านี้ถึงเป้าประสงค์ขององค์กรต่างๆที่เข้ามาตั้งในประเทศไทยภายใต้การเชื่อมโยงเดียวกันกับ CIA รัฐบาลไทยจึงต้องสงสัยและระวังไว้ก่อน

@@“สุรินทร์” โบ้ยทหารตั้ง CTIC.ใต้

นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผย “นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน” กรณีที่มีข่าวรัฐบาลไทยปกปิดการจัดตั้งศูนย์ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้าย หรือ CTIC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก CIA. ขึ้นในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเป็นองค์กรลับที่มีบุคลากรด้านความมั่นคงของไทยทั้งทหาร ตำรวจ หน่วยข่าวกรอง เข้าร่วม ตามที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและภัยคุกคามระหว่างประเทศ หรือ CSIS ซึ่งก็เป็นหน่วยงานของสหรัฐ ที่มีสาขาในกรุงเทพฯ เช่นกัน บันทึกไว้โดยนายสุรินทร์ ยืนยัน ว่า ตนเองไม่ทราบว่ามีองค์กรนี้หรือไม่ และในสมัยที่ตนเองเป็น รมต.ต่างประเทศก็ไม่ได้รับรู้ว่ามีองค์กรนี้ในประเทศไทย
“ไม่รู้จักเลย เพียงแต่ได้ข่าว น่าจะเป็นเรื่องของฝ่ายทหาร และการจัดตั้งนี้เป็นการจัดตั้งโดยที่ผมเองไม่ทราบก็ได้ และที่กล่าวว่าจัดตั้งปี ๒๐๐๑ (พ.ศ.๒๕๔๔) นั้น ตนเองก็ออกจากตำแหน่งแล้วตั้งแต่มกราคม ๒๐๐๑ (พ.ศ.๒๕๔๔) จึงไม่ทราบเรื่องนี้ และขอให้เช็กเรื่องเดือนวันที่ที่แน่นอนอีกครั้งเพราะการระบุว่าจัดตั้งในสมัยคุณชวนเป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขณะที่ผมเป็น รมต.ต่างประเทศนั้น ยังไม่ชัดเจน” นายสุรินทร์กล่าว

@@’นัจมุดดิน’ ซัดองค์กรลับ ผนึก ‘จอมบงการ’ เผาใต้?

นายนัจมุดดิน อูมา ส.ส.นราธิวาส พรรคไทยรักไทย หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบในภาคใต้ เปิดเผย “ร่วมด้วยช่วยกัน” ว่า องค์กรลับที่ชื่อ CTIC หรือศูนย์ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายลับสุดยอดในไทย ที่มีข่าวว่าหน่วยสืบราชการลับของอเมริกาอย่าง CIA. เป็นผู้ดูแลที่จัดตั้งในภาคใต้ตั้งแต่ปี ๒๐๐๑(พ.ศ.๒๕๔๔) นั้น ได้ยินข่าวนี้อยู่บ้าง และเข้าใจว่าทางฝ่ายความมั่นคงของประเทศก็ติดตามเรื่องนี้อยู่

“น่าจะเป็นองค์กรที่ก่อตั้งมาเพื่อความร่วมมือด้านข่าวสารมากกว่าและน่าจะเป็นสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวขององค์กรนี้ก็ดูแปลกๆ อยู่ มันผิดปกติ อย่างกรณีการปาระเบิดขวดของวัยรุ่นที่ดูแล้วคึกคะนองเกินเหตุ ขนาดเอาเจ้าหน้าที่ลงไปก็เยอะแล้ว ชาวบ้านเริ่มให้ความร่วมมือแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราต้องหันกลับมาคิดอีกมุมหนึ่งแล้วว่าทำไมถึงยังฮึกเหิมได้”

นายนัจมุดดินยอมรับว่า “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่เป็นจริงตอนนี้ไม่มีใครกล้าขยับ รวมทั้งชาวบ้านขณะนี้ก็ไม่กล้าออกจากบ้านแล้วทุกคนอยากอยู่อย่างสงบมากกว่า…ซึ่งจากการที่นายกรัฐมนตรีประกาศชัดเจนว่าต่อไปนี้การดำเนินการทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมายห้ามไม่ให้มีการเข่นฆ่าหรืออุ้ม ทำให้ปิดช่องไม่ให้มีการผสมโรงได้ เพราะที่ผ่านมาคนเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ทำแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นกองกำลังอำนาจแฝง ซึ่งการที่ “พล.อ.ชวลิต” ทำการสับเปลี่ยนกำลังออกจากพื้นที่โดยเอาเลือดใหม่เข้าไปแทนถือว่าถูกต้องแล้วเพราะบางส่วนเป็นกองกำลังอำนาจแฝงของ “ฝ่ายปฏิบัติการเจาะไอร้อง”

อย่างไรก็ตาม “นายนัจมุดดีน” ยืนยันว่าสถานการณ์ไฟใต้ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาระดับภาค แต่เป็นปัญหาระดับความมั่นคงของประเทศโดยมีการทำกันเป็นขบวนการที่ใหญ่มากซึ่งน่ากลัวและดูไม่ปกติ โดยเฉพาะผนวกกับสถานการณ์ความวุ่นวายรอบประเทศที่เป็นใจให้กลายเป็นข้ออ้าง ซึ่งก็รวมถึงประเด็นเรื่อง “ช่องแคบมะละกา” ที่ถือเป็นผลประโยชน์พลังงานในคาบสมุทรนี้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากให้ตั้งข้อสังเกตว่ามีการทำเป็นระบบและมีตัวละครที่เกี่ยวข้องกันทั้งเรื่อง กฟผ.และภาคใต้ ที่ “ตัวละคร” เริ่มปรากฏตัว ดังนั้นจึงอยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายเร่งกระชากหน้ากาก “จอมบงการตัวจริง” ออกมาโดยเร็ว สังคมจะได้หมดความคลางแคลงใจเสียที

“มันไม่ใช่ไฟใต้อย่างเดียว มันเป็นการทำลายความั่นคงของชาติ อันนี้ผมเป็นห่วง เพราะว่าเขามีความพยายามที่จะทำลายล้างใน ๓-๔ จังหวัดตั้ง ๓-๔ เดือน แล้วหลังจากนี้ผมกลัวว่าเขาจะขยายผลไปที่อื่นต่อ เป้าหมายของเขาคือทำลายมั่นคงของประเทศ เพราะถ้าความมั่นคงเสียความเชื่อมั่นเสีย เศรษฐกิจเสีย รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ คือเป้าหมายทั้งหมดของเขาอยู่ที่นายกฯทักษิณ ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้เป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกับองค์กรต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาฮุบประโยชน์ในคาบสมุทรนี้”

นายนัจมุดดีนกล่าวด้วยว่า อยากให้สื่อนำเสนอข่าวข้อมูลที่เป็นจริง อย่าตีวงแคบๆ แค่ ๓ จังหวัดแต่ควรมองภาพใหญ่ โดยเฉพาะผลประโยชน์ช่องแคบมะละกา อะไรที่พวกเขาถือเป็นเป้าหมายสุดยอด ซึ่งตนพูดตลอดเวลาว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว ซึ่งตนพร้อมสนับสนุน โดยขณะนี้ตนทำอยู่ ๒ เรื่องคือโครงการนำเยาวชนกลุ่มเสี่ยงมาสร้างความสัมพันธ์กับภาครัฐ จากนั้นจะไปถึงครูสอนศาสนาระดับกลางอายุ ๒๕-๔๐ ปีซึ่งถือเป็นปฏิบัติการชิงมวลชนของรัฐ นอกจากนี้ต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าขณะนี้สภาวการณ์ของปัญหาอยู่ในระดับวิกฤติ ไม่ปกติ

“ต้นเดือนหน้าจะเชิญครูสอนศาสนาในระดับกลางประมาณ ๔๐๐ คน เพราะว่าคนเหล่านี้จะต้องดึงมาเป็นหูเป็นตาให้การจัดสัมมนาจะจัดขึ้นที่นราธิวาส โดยจะเชิญท่านจุฬาราชมนตรีและแม่ทัพภาคที่ ๔ ผู้บัญชาการรักษาความปลอดภัย ผู้บัญชาการสันติบาล และก็ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานทั้ง ๔ เป็นงานด้านความมั่นคงด้านการข่าวโดยตรง เพราะตอนนี้มีช่องว่างอยู่ ช่องว่างหมายถึงฝ่ายความมั่นคงในระดับผู้ใหญ่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งแล้ว แต่ในระดับปฏิบัติบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจดี นี่คือด้านที่หนึ่ง ส่วนด้านที่สองฝ่ายองค์กรประชาชนบางส่วนยังคลางแคลงใจในอำนาจรัฐ ต้องเอาคนสองกลุ่มนี้มาพบปะพูดคุยกัน จึงจะอุดช่องว่างตรงนี้ได้ ประการที่สองจะเชิญกลุ่มวัยรุ่น ที่เกรงว่าถ้าเกิดปล่อยเขาอยู่อย่างนั้นแล้วจะมีใครมายุยงส่งเสริม ให้เข้ามาเรียนรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร เพราะในอนาคตคนเหล่านี้จะต้องช่วยเป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล”
21 พ.ค. 47

@@CTIC –ต้องไม่หายไปกับสายลมยามดึก !

เอกสารที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธส่งมอบต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อกลางดึกคืนวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2547 จะมีรายละเอียดอย่างไร จนใจที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่อาจรับรู้ แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นพฤติกรรมที่ส่อเค้าว่าอาจจะมีการตกลงบางประการระหว่างรัฐบาลชุดที่แล้ว กับสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว

ก่อนหน้าสัก 2 – 3 สัปดาห์ นักวิเคราะห์สถานการณ์ในบ้านเราฮือฮากับรายงานชิ้นหนึ่งที่ปรากฏในเว็บไซต์ขององค์กร Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ของสหรัฐอเมริกาเอง ที่ระบุว่ามีหน่วยปฏิบัติการร่วมไทย-สหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ Counter Terrorist Intelligence Center หรือ CTIC ที่อย่าว่าแต่คนไทยทั่วไปจะไม่รู้เรื่องเลย รัฐบาลปัจจุบันก็ไม่รู้เรื่อง และมีอีกบางเว็บไซต์นำไปถ่ายทอดต่อ
รายงานขนาด 6 หน้าชิ้นนี้มีขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 เป็นการฉายภาพรวมการทำงานต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลอเมริกันทั่วโลก โดยมีเรื่อง CTIC รวมอยู่ด้วยส่วนหนึ่งในหน้า 3 ภายใต้หัวข้อ….
“CIA, Thai Agencies Unite to Root Out Al Qaeda”

เนื้อหาระบุว่า CITIC ตั้งขึ้นในช่วงต้นปี 2544

จะเป็นเอกสารมโนสาเร่หรือไม่ กรุณาเปิดเว็บไซด์ศึกษาได้โดยตรง โดยเปิดหาที่ www.csis.org หรือจะเปิดไปถึงที่หมายโดยตรงเลยก็ได้ที่ …….. สาระสำคัญโดยสังเขปอยู่ตรงย่อหน้าต่อไปนี้….
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอเมริกันยุคจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชคือการทำสงครามกวาดล้างขบวนการมุสลิมจารีตนิยมทั่วโลก เอเชียอาคเณย์เป็นจุดหนึ่งที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามอยู่หนาแน่นหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งในฟิลิปินส์, อินโดนีเซีย และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต่ของประเทศไทย ล้วนเป็นเครือข่ายของขบวนการอัลกออิดะฮ์เรื่องนี้มีรายละเอียดปรากฎอยู่ในหลายเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น….
มีบางเว็บไซต์ อาทิ …… เสนอบทวิเคราะห์เรื่อง CTIC ไว้ – ขอนำมาสรุปโดยสังเขปต่อไปนี้
WEBSITE ที่น่าอ่าน ?

http://www.csis.org/tnt/ttu/ttu_0310.pdf

http://fpc.state.gov/documents/organization/27533.pdf

http://www.usembassy.it/pdf/other/RL31152.pdf

www.fridaycallege.org

มีรายงานชิ้นหนึ่งของสหรัฐ ระบุชัดเจน CIA แอบเข้ามาตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้นาน 3 ปีมาแล้ว “ไฟใต้ – ก่อการร้าย – CIA” จึงเป็นสมการที่หลายฝ่ายกำลังจับตามอง
รัฐบาลไทยพยายามปกปิดการจัดตั้ง CTIC มาเกือบ 3 ปีแล้ว ศูนย์ลึกลับในภาคใต้แห่งนี้เป็นของสหรัฐอเมริกา บริหารงานโดยหน่วยงาน CIA ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา

ทว่า ความลับนั้นกลับถูกเปิดเผยโดยรายงานของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ของสหรัฐอเมริกาเอง

รายงานของ CSIS ได้กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ CTIC ในภาคใต้ เพื่อต่อต้านกลุ่มเจไอและอัลกออิดะฮ์ โดยมี CIA เป็นผู้วางโครงสร้างให้เงินทุนสนับสนุน และวางแผนการปฎิบัติงานทุกอย่าง โดยตํารวจและทหารไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องอยู่ภายใต้การบัญชาการโดยตรงของ CIA

การจัดตั้ง CTIC นั้น เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ผลกระทบที่จะมีต่อวัฒนธรรมในพื้นที่ และสังคมของชาวบ้านในภาคใต้ จึงไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของรัฐบาลไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนี้แล้วการกระทําต่าง ๆ ของ CTIC อาจทําให้เกิดความขัดแย้งภายใน เช่นนโยบายไล่ล่าและกักขังชาวบ้านมุสลิม ที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ของ CTIC สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ เพราะการทํางานของ CIA ในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (War on Terrorism) นั้น ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายไทย หรือแม้แต่กฎเกณฑ์ของสนธิสัญญาเจนีวา

เมื่อถูกจับกุมแล้ว ผู้ต้องหาก็ไม่มีสิทธิที่จะหารือกับทนาย แม้ว่าเขายังคงถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิตามกฎหมายก็ตาม จะเห็นได้จากกรณีของนายจาเมา นักโทษของสงครามการต่อต้านการก่อการร้ายรายหนึ่งที่ถูกคุมขังอยู่ที่อ่าวกวนตานาโม

“พวกเขาสอบสวนผม เป็นเวลา 12 ชั่วโมงติดต่อกัน ในขณะที่ตรึงแขนผมไว้ด้วยโซ่ เมื่อผมไม่ยอมให้พวกเขาฉีดยา psychoactive drugs ผมก็ได้ยินเสียงผู้คุมฝรั่งทั้งหลาย เร่งผีเท้ากันเข้ามาทางห้องขังของผม พวกเขามีกันทั้งหมดห้าคน ใส่ชุดเกราะเข้ามาเตะต่อยผม และตีด้วยไม้ตะบอง จนผมเจ็บระบมไปทั้งตัว พวกเขาตะโกนพร้อมกันว่า Comply, comply, comply. Do not resist. Do not resist. ผู้คุมคนหนึ่งเตะผมอย่างแรง จนทําให้ผมเกิดอาการอักเสบที่กระดูกสันหลัง….

“หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผมกําลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ผู้คุมคณะที่สองก็เข้ามาเตะต่อยผมอีก ผู้คุมอเมริกันคนหนึ่งขู่ว่า จะฆ่าครอบครัวของผมให้สิ้น….

“หลังจากนั้น เขาก็พาผมไปขังไว้ในห้องแคบมากๆ ที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน พอตอนกลางคืน พวกเขาก็เปิดไฟในห้องให้สว่างจนนอนไม่หลับ รวมทั้งเปิดพัดลมอย่างแรงทําให้ห้องเย็นยะเยือก จนผมต้องลงไปหลบลมอยู่ใต้เตียง…..

“เขาต้องการทําลายผมทั้งทางกายและใจ…. เพื่อให้ได้มาซึ่ง คำ สารภาพ…. แม้ว่าผมจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม”

การกระทําทั้งหมด CIA มักจะใช้ตํารวจไทยเป็นเครื่องมือเบื้องต้น ในการหาข้อมูล และจับกุม ซึ่งทําให้เกิดความแค้นเคืองระหว่างคนไทยด้วยกันเอง เป็นอย่างมาก

เนื่องจากศูนย์ CTIC และ CIA เป็นหน่วยงานของต่างชาติ ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ จึงไม่ใช่ปัญหาระดับชาติ แต่เป็นปัญหาที่เรียกว่า US Fundamentalism ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมในรูปแบบหนึ่ง
เรากําลังเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกา ที่ใช้กําลัง ทหารเพื่อบีบบังคับให้ประเทศอื่น ให้มองโลกจากมุมมองและกรอบคิดของตน ในรอบร้อยปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกาก็เคยมีแนวโน้มไปทาง Fundamentalism เหมือนกับที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะแนวคิดแบบ “เสรีนิยม” ในช่วงทศวรรษที่ 1960 หรือช่วงสงครามเวียดนาม ที่สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพทางทหารในประเทศไทย ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970

ทําให้เยาวชนและนักศึกษาไทยในช่วงนั้น ต้องเติบโตมากับสงครามเวียดนาม เติบโตมากับเสียงฝูงบิน B – 52 เติบโตมากับภาพหญิงไทยกอดอยู่กับทหารฝรั่ง และเติบโตมากับรัฐบาลเผด็จการ ที่เอาแต่จะเสพสุขไปวัน ๆ

การยินยอมให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงดังกล่าว จึงเป็นชนวนทําให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลอย่างแรง ไม่ต่างจาก “ไฟใต้” ที่กําลังปะทุขึ้นมาในขณะนี้ เพียงแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นั้น มันถูกจุดประกายขึ้นโดยนักศึกษาที่มิใช่ชาวมุสลิม คงเป็นที่น่าขบขันไม่น้อยทีเดียว เมื่อรัฐบาลพยายามจะฉลองครบรอบ 30 ปี 14 ตุลาคม 1973 ด้วยการไว้อาลัยอย่างเงียบ ๆ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับการฉลองที่แท้จริงกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

คนไทยนั้นไม่ชอบการถูกครอบงำโดยต่างชาติเป็นธรรมดา ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นมาช้านานแล้วไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ ชาวมุสลิม หรือชาวกฟผ. !

การที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการดําเนินนโยบายเอาใจต่างชาติโดยรัฐบาลเผด็จการนั้น จึงเป็นเรื่องปกติของประวัติศาสตร์ชาติไทย

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นเพื่อนที่น่ารําคาญ

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า เพื่อนที่น่ารําคาญผู้นี้ นอกจากจะยัดเยียดให้จัดตั้ง CTIC อย่างลึกลับแล้ว ยังเปิดเผยรายงานการจัดตั้งดังกล่าวต่อสาธารณะ ให้รัฐบาลไทยต้องขายหน้าอีกต่างหาก !

ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลควรจะร่วมมือกับประชาชน เพื่อขจัดปัญหาการเข้ามาครอบงำโดยต่างชาติอย่างจริงจัง

นั่นหมายถึงการยกเลิกให้ต่างชาติ เข้ามาใช้สถานที่และฐานทัพภายในประเทศ อันนํามาซึ่งปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธจุดชนวนสำคัญออกมาแล้ว

อย่าให้มันล่องลอยไปกับสายลมยามดึกของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีวันแรก และการซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลเลย

รัฐบาลไหนแอบไปตกลงให้เกิด CTIC ขึ้น เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนอยากได้คำตอบ
หน้าตาเว็บไซต์ …..

แกะรอย CTIC จากฉก. 399 !

หน่วยเฉพาะกิจ 399 หรือฉก. 399 คือ “ข้อมูล”, “หลักฐาน” และ “ใบเสร็จ” ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาคือตัวการสำคัญที่ทำให้รัฐบาลพม่าไม่ไว้วางใจและหวาดระแวงไทย

เป็น “มูลเหตุพื้นฐาน” ของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2544 และเมษายน 2545
การเผชิญหน้ากันระหว่างไทย-พม่า และการใช้นโยบายทางทหารอย่างแข็งกร้าวภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศปิดด่านแม่สายตั้งแต่ต้นปี 2544, การห้ามไม่ให้ส่งออกยุทธปัจจัย 4 ประเภทเข้าพม่า ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค ยานยนต์ ข้าวสาร, การกักไม่ให้ขบวนรถบรรทุกอุปกรณ์เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าท่าขี้เหล็กผ่านด่านแม่สาย ตลอดจนการปะทะกันด้วยกำลังทหารตามแนวชายแดน เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยหน่วยงานหนึ่ง

“หน่วยเฉพาะกิจ 399” -“ฉก. 399” เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กองทัพบก (ทบ.) ก่อตั้งขึ้นภายใต้การสนับสนุนของกองทัพสหรัฐอเมริกา

ม้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น จะลงนามในคำสั่งก่อตั้งเมื่อปลายเดือนเมษายน 2544 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ฉก. 399 เริ่มปฏิบัติการมาตั้งแต่ปลายปี 2543 ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัยแล้ว
ฉก. 399 ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยกำลังพล 4 กองร้อย มาจากกรมทหารราบที่ 7 จำนวน 2 กองร้อย กองพลรบพิเศษที่ 2 จำนวน 2 กองร้อย และตชด.อีก 1 กองร้อย
กองทัพสหรัฐส่งหน่วยรบพิเศษที่ประจำการในภาคพื้นแปซิฟิค ณ เกาะกวม เข้ามาทำหน้าที่ช่วยฝึกสอนงานด้านการข่าวและการปฏิบัติการต่อเป้าหมายวัตถุประสงค์ – อ้างว่าเพื่อสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดโดยเฉพาะ

กำลังพลที่ได้รับการบรรจุเข้าฉก. 399 จะได้รับการสนับสนุนเบี้ยเลี้ยงจากทางการสหรัฐวันละประมาณ 500-600 บาท/คน ได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัย และยานพาหนะต่าง ๆ จากสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่

นอกจากนั้นยังจะได้รับเงินพิเศษช่วยรบ (พศร.) ปีละ 1 ขั้น
เงิน พศร.นี้จะติดตัวกำลังพลไปจนกว่าจะเสียชีวิต

พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 เคยระบุไว้ว่า การตั้งฉก. 399 ขึ้นมามีเป้าหมายที่การสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะ แต่จะไม่มีการรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเพื่อนบ้าน และ….การเข้ามาช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่เคยช่วยเหลือรัฐบาลโคลัมเบียปราบปรามโคเคน !

แต่แม้จะยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น ความเป็นจริงของปฏิบัติการในพื้นที่กลับเป็นไปในลักษณะ…..

“มะกันหนุน-ไทยคุม-กะเหรี่ยง(คริสต์)ลงมือ” การช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐต่อฉก. 399 อยู่ที่การช่วยเหลือด้านเทคนิคเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านภาพจากดาวเทียมหาจุดที่ตั้งโรงงานยาเสพติด, การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการปราบปรามยาเสพติด รวมไปถึงถ่ายทอด Know-how ที่จำเป็นผ่านชุดการฝึก “การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย” ให้ เช่น การฝึกจู่โจมทางเฮลิคอปเตอร์ในเวลากลางคืน

มีนายทหารสหรัฐเข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดินภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรไทยระหว่าง 12-30 นาย
ส่วน “การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย” เป็นหน้าที่ของกำลังพลฝ่ายไทย โดยมีชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลพม่าเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย !

ฉก. 399 เริ่มวางโครงร่างของหน่วยงานมาตั้งแต่กลางปี 2543 เริ่มฝึกเต็มอัตราเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2544

ฉก. 399 มีลักษณะเดียวกันกับหน่วยงานในสังกัดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) หมายเลข 514 และ 311 ในอดีต เพียงแต่ภารกิจแตกต่างกัน

โครงการ 514 ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการโต้ตอบกองกำลังของขุนส่าในอดีต ขณะที่โครงการ 311 ก่อตั้งขึ้นมาปฏิบัติงานด้านการข่าวพื้นที่ชายแดนไทย-พม่าโดยเฉพาะ และเสร็จสิ้นภารกิจไปเมื่อเดือนตุลาคม 2543 หลังจากนั้นจึงมีฉก. 399 ขึ้นมาทดแทน

เป็นที่รับรู้และพิจารณากันมาแต่ต้นแล้วว่าฉก. 399 คือความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-พม่าเลวร้ายลงไป เพราะนี่คือช่องทางในการส่งผ่านความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกเข้าไปยังชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพม่า ทั้งด้านเงินทุน และอื่น ๆ รวมทั้งเป็นการรื้อฟื้นสถานภาพความเป็น Buffer State ของประเทศไทยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้วัตถุประสงค์อ้างอิงใหม่ – สกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตในประเทศพม่า

เหตุการณ์หลายครั้งที่ผ่านมาในช่วงปี 2543 – 2544 บ่งชี้ให้เห็นว่าชนกลุ่มน้อยในพม่าเป็นผู้นำกำลังเข้าปะทะกับคาราวานยาเสพติด แล้วนำยาเสพติด ยาบ้า ที่ยึดได้มามอบให้กับทางการไทย

ตัวอย่างที่ “บอกเล่า” ได้ดีคือกรณียาบ้า 13 ล้านเม็ดเมื่อเดือนเมษายน 2544 !

ยาบ้าของกลางที่กองกำลังนเรศวรตรวจยึดได้ 2 ครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 16 และ 24 เมษายน 2544 รวมกว่า 13 ล้านเม็ดนั้น….

ครั้งแรก 7 ล้านเม็ด พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ มทภ. 3 ในขณะนั้น บอกว่ากองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ (KNU) ยึดได้หลังปะทะกับคาราวานขนยาเสพติดของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ในฝั่งพม่าแล้วนำมามอบให้กองกำลังนเรศวร

ข่าวในพื้นที่บอกเล่าว่าเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน 2544 มีขบวนรถของเจ้าหน้าที่ทหารไทยลำเลียงกำลังทหารในสังกัด KNU จำนวน 7 คันรถไปปล่อยบริเวณโรงสูบน้ำประปาแม่สอด เพื่อให้ข้ามแม่น้ำเมยไปยังฝั่งพม่า แล้วรับกลับมาในคืนเดียวกัน ต่อมาอีก 1 วัน KNU ก็นำยาบ้า 7 ล้านกว่าเม็ดมามอบให้ทางการไทย

ครั้งที่ 2 มีรายงานว่า ฉก.ร. 4ตรวจยึดได้หลังเกิดปะทะกับ DKBA บริเวณชายแดนอำเภอพบพระ จังหวัดตาก แต่หน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ไม่มีรายงานเหตุการณ์ปะทะ

ชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มในพม่าหันมาให้ความร่วมมือในการปราบปรามสกัดกั้นยาเสพติด-ยาบ้าที่มีแหล่งผลิตตามแนวชายแดนประเทศพม่า เริ่มจากกองกำลัง SSA ของพ.อ.ยอดศึก รวมไปถึง KNU, กองทัพกะเหรี่ยงคะยา(KNPP) ปะล่อง ปะโอ แม้แต่กลุ่มมอญเองก็เริ่มมีท่าทีที่จะเข้าร่วมกับแนวทางนี้มากขึ้น
ถือเป็นแนวทางแสวงหาความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกของชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าอีกแนวทางหนึ่ง

เป็นแนวทางที่ประเมินว่าน่าจะเห็นผลเร็วกว่าการชูธงเรียกร้องประชาธิปไตยเพียงธงเดียว !

เพราะปัญหายาเสพติดไม่เพียงแต่เป็นปัญหาใหญ่ของไทยเท่านั้น ยังเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลก เมื่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ประกาศเจตนารมณ์สกัดกั้นขบวนการผลิต-ค้ายาเสพติด ความช่วยเหลือจากภายนอกก็จะมีเข้ามามากและเร็วขึ้นแน่นอน

การผลักดันให้ชนกลุ่มน้อยในพม่าเข้าร่วมการปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดเข้าประเทศไทยนี้ย่อมมีแรงหนุนจากสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน

โดยมีหน่วยงานในสังกัดกองทัพบกไทยเป็นผู้ควบคุม และชนกลุ่มน้อยในพม่าเป็นผู้ปฏิบัติงาน !

หลังการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านยาเสพติดของบรรดาชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในพม่า มีเม็ดเงินสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกเข้ามาค่อนข้างมาก รวมทั้งอาวุธด้วย

แน่นอน – ทุกอย่างผ่านประเทศไทยทั้งสิ้น !

รัฐบาลพม่าแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการกำเนิดของฉก. 399 มาตั้งแต่ต้น ผ่านข่าวและบทความในหนังสือ The Mirror โดยตั้งธงไว้ว่ารัฐบาลไทยสมคบสหรัฐอเมริกาสนับสนุนกบฏชนกลุ่มน้อย มีอยู่บทความหนึ่งลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 ตั้งชื่อเลียนแบบสุภาษิตไทยว่า….

“ช้างตายทั้งตัวเอาหนังแพะไปปิดไม่มิด”

เนื้อหาเป็นการลงบันทึกความเคลื่อนไหวหน่วยรบพิเศษไทยละเอียดยิบ โดยมุ่งเน้นไปที่กำลังผสมไทย-สหรัฐ อเมริกาเข้าไปให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลพม่า
กองทัพบกและรัฐบาลไทยยุคชวน หลีกภัยออกมาปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่า หรือการเปิดพื้นที่ให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย พร้อมกันนั้นนายทหารระดับสูงของไทยหลายนาย โดยเฉพาะในระดับกองทัพภาคที่ 3 ก็ออกมาระบุหลายครั้งว่าทางการพม่าไม่ให้ความร่วมมือต่อการปราบปรามยาเสพติดเท่าที่ควร
งบประมาณในการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติดแต่ละปีของสำนักคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อยู่ในราว 1,600-1,900 ล้านบาท

นอกเหนือจากจะได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลแล้ว ป.ป.ส.ยังได้รับงบสนับสนุนเพิ่มเติมมาจากองค์การสหประชาชาติอีกเป็นวงเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,250 ล้านบาท
แต่หลายปีที่ผ่านมาผลงานของป.ป.ส.ดูจะไม่ค่อยเข้าตาสหประชาชาติเท่าที่ควร

สหประชาชาติจึงเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณในการปราบปรามยาเสพย์ติดส่วนใหญ่มาให้กับ“หน่วยปฏิบัติ” — คือกองทัพบก — โดยตรง แทนที่จะส่งผ่านให้ป.ป.ส.

ตัวเลขงบประมาณจากสหประชาชาติในปีหนึ่ง ๆ ตกราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท

ฉก. 399 ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติภายในหน่วยปฏิบัติ” เพื่อรองรับการเปลี่ยน แปลงด้านการสนับสนุนงบประมาณจากสหประชาชาติดังกล่าว

ฉก. 399 มาจากแนวคิดของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น และได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล

รัฐบาลที่มีชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประสงค์ สุ่นศิริเป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง !

ในชั้นต้น ภาพที่มีกำลังพลจากรบพิเศษของสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำการฝึกสอนกำลังพลของกองทัพบก ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อกังขาเป็นการภายในว่านี่จะเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาจัดตั้ง “ฐานทัพ” ในประเทศหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดทั้งรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา

แต่ก็เป็นเพียงเสียงนกเสียงกา – ทั้งรัฐบาลและกองทัพบกไม่ได้ตอบโต้อะไร !

อเมริกาทำสงครามข้อมูลข่าวสารโดยสนับสนุนให้ประชาชนอเมริกันประท้วงสงรามเวียดนามเพราะต้องการให้จีนเวียดนามเหนือและรัสเซียสงสัยแผนการยุจีนเวียดนามรัสเซียให้ทะเลาะกัน การถอนออกจากสงครามส่งผลให้จีนกับรัสเซียซึ่งสนับสนุนเวียดนามเหนือทำสงครามกับอเมริกา เมื่ออเมริกาอ้างความไม่เห็นชอบของประชาชนก็สามารถถอนออกจากสงครามเวียดนามโดยไม่มีใครสงสัย จีนิดว่าพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตอิทธิพลของตนเองซึ่งได้จัดแบ่งแล้วกับรัสเซีย แต่เวียดนามไม่ต้องการอยู่ในอาณัติจีน เพราะโดยพื้นฐานในอดีตไม่ถูกกน จึงดึงรัสเซีย มาคานอำนาจ ซึ่งมีการสนับสนุนเวียดนามเข้ายึดครองลาวและเขมร ความแตกแยกระหว่างจีน รัสเซียและเวียดนามจึงเกิดขึ้นตามแผน ทำให้ขั้วสังคมนิยมอ่อนแอ แกล้งแพ้สงครามเล็กสงครามเวียดนาม แต่ชนะสงครามกับขั้วสังคมนิยมเพราะขั้วนี้ทะเลาะกนย่อมอ่อนแอ อเมริกาก่อสงรามเวียดนามเพื่อใช้เป็นเรื่องมือสร้างความแตกแยกจีนรัสเซียเพื่อให้ขั้วสังคมนิยมอ่อนแอ

แผนการเจ็ดขั้นเพื่อส่งผลให้อเมริกาขึ้นเป็นจ้าวโลก ?

1.อาศัยสถานการณ์การบีบบังคับให้ญี่ปุ่นโจมตีเพิลฮาเบอร์ตามแผนการของตนเพื่อดึงอำนาจจากประชาชนเสนับสนุนอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วอาศัยสถานการณ์ของสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งยังไงอเมริกาก็ชนะเพราะประเทศพื้นดินแม่ไม่ประสบภัยของการสู้รบ เมื่อชนะสงคราก็ดำเนินการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากประเทศมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการจัดสร้างระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางระบบ (ระบบพึ่งพา)

2.สถาปนาแนวกันชนเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศให้กับ USA ในฝั่งแอตแลนติก(แยกเยอรมันตั้งนาโต้) ฝั่งแปซิฟิก (แบ่งเกาหลี คงกองกำลัง ยุไต้หวันกับจีน)

3.จัดตั้ง UN เพื่อจัดแบ่งขั้วอำนาจในค่ายสังคมนิยมและเสรีนิยม เพื่อให้ประเทศเกิดใหม่ซึ่งหลุดพ้นจากประเทศอาณานิคมมาเกาะระบบพึ่งพาในทั้งสองขั้ว จนกระทั่งก่อให้เกิดสงครามเย็น

4.สร้างฐานที่มั่นเพื่อให้ตนเองสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยสามารถดูดซับเอาทรัพยากรในภูมิภาคละตินอเมริกามาเป็นฐานทางด้านเศรษฐกิจ ก่อให้ เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

5.แยกสลายความเข้มแข็งของขั้วสังคมนิยมด้วยสงครามเวียดนาม จนรัสเซียแตกสลาย(สิ้นสุดสงครามเย็น)

6.ทำลายโอกาสของคู่แข่งในการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่มีอำนาจต่อรองทัดเทียมกับอเมริกา โดยดำรงไว้ซึ่งการเป็นมหาอำนาจขั้วเดียวของโลก เพื่อให้สามารถรักษาระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากรเข้าสู่ประเทศศูนย์กลางระบบให้คงอยู่เพื่อเอาเปรียบตลอดไป ใช่สงครามทางทหารและเศรษฐกิจ โจมตีค่าเงินอียู และฐานการค้าการลงทุนของอียูและญี่ปุ่นในเอเชียแล้วพยายามสร้างวิกฤติเศรษฐกิจกระทบรอบสองโจมตีค่าเงินหยวนแต่อเมริกาพ่ายแพ้สงครามค่าเงินแก่จีน

7.ดึงอำนาจจากประชาชนอเมริกาเพื่อได้อำนาจในกาเข้าไปใช้ข้ออ้างในการใช้กำลังทำสงครามกับผู้ก่อการ้าย วัตถุประสงค์แฝงเร้น คือความอิสระในการแทรกแซงกิจการภายในประเทศเป้าหมายได้อย่างอิสรเสรี ไร้การควบคุม (อาศัยสถานการณ์ 11 ก.ย.)

แผนขั้นต่อไปต้องทำให้ขั้วอำนาจสังคมนิยมต้องเกิดความขัดแย้งระหว่างกันเพื่อให้เกิดความอ่อนแอและล้มลง โดยวางแผนใช้สงครามเวียดนามเป็นชนวนของความแตกแยกในครั้งนี้ แม้ว่าจีนกับรัสเซียจะมีความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ก็ตามแต่ก็ยังพูดจาในเรื่องผลประโยชน์กันรู้เรื่อง โดยต่างฝ่ายก็แบ่งเขตอิทธิพลระหว่างกัน รัสเซียขยายอิทธิพลเข้าไปในอาฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรป จีนขยายอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้สงครามเวียดนามส่งผลทำให้จีนรัสเซียในช่วงแรกร่วมมือกันทำสงครามกับอเมริกาเพื่อขับไล่ออกไปจากเวียดนาม แต่หลังจากการเมืองอเมริกาแทรกแซงทางด้านการทหารหลังจากกำจัด JFK ซึ่งขัดขวางสงครามเวียดนามซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกภายในขั้วสังคมนิยม โดยการเมือง(ประธานาธิบดี)ดึงอำนาจในการกำหนดแฟ้มเป้าหมายในการโจมตีต่อเส้นทางลำเลียงที่สำคัญ การใช้ทหารไม่ชำนาญการรบ การตั้งฐานทัพในลักษณะเดียวกันกับค่ายเดียนเบียนฟูของฝรั่งเศสซึ่งเวียดนามสามารถเอาชนะได้ในที่สุด อเมริกาต้องการแพ้ในครั้งนี้ส่งผลทำให้รัสเซียซึ่งส่งผ่านอำนาจมาทางเวียดนามไม่ยอมถอยออกไปจากพื้นที่อิทธิพลที่ได้แบ่งเขตกับจีน หลังเวียดนามแตก เขมรแตก จีนกับรัสเซียขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเรื่องของผลประโยชน์

ทหารประชาธิปไตยของไทยศึกษาศัตรูรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง เราศึกษาจากเชกูวารา เจ้าตำหรับสงครามปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ได้เขียนในหนังสือ “ทฤษฏีสงครามกองโจร” ว่าไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่ผู้ปกครองได้อำนาจด้วยการเลือกตั้งจากประชาชนไม่ว่าจะทุจริตหรือไม่ หรืออย่างน้อยรัฐบาลยังคงรักษารูปลักษณะทางกฏหมาย ของรัฐธรรมนูญ การรบแบบกองโจรก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ตราบเท่าที่การต่อสู้แบสันติยังไม่ถูกทำลาย

เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่รัสเซียสับสนุนชนะสงครามเวียดนามปี 2518 เลหย่วน ผู้นำ พคว.คนสำคัญ เขียนหนังสือชื่อ “สองขาสามเขต” ความหมายคือสองขา คือการเมือง การทหาร สามเขต คือเขตป่า เขตราบ และเขตเมือง โดยอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดียวหลัง 6 ต.ค.2519 มีคนไทยเข้าป่า 3,000 คน ส่งผลให้ พคท.แห่งประเทศไทย(ที่มีจีนเป็นแกนนำ)มั่นใจว่าการทำตาม”สองขาสามเขต” จะทำให้ชนะสงครามปฏิวัติได้

แต่ พคท.คิดผิดและทำไม่ได้ เพราะสงครามปฏิวัติของ พคท.เป็นสงครามกลางเมืองในระบอบเผด็จการแบบอ่อน คือระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่ใช่ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ และเมืองไทยเป็นประเทศเอกราช ไม่ใช่กึ่งเมืองขึ้น ชาวนาไม่ต้องปฏิวัติที่ดิน ในสถานการณ์เช่นนี้ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่ชอบรัฐบาล แต่ก็จะไม่ยอมรบกับรัฐบาล ขอแต่เพียงต่อต้านในแนวทางประชาธิปไตยเท่านั้น ดังนั้น พคท.จะเอาขาการเมืองมายืนในที่ราบและในเมืองเพื่อหนุนสงครามปฏิวัติในป่าจึงไม่สามารถกระทำได้ ข้อนี้จึงตรงกับข้อห้ามของเชกูวาร่าที่กล่าวมาข้างต้น

การที่ พคท.จะชนะได้ต้องใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธและต้องเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง แต่การจะรุกทางการเมืองได้ พคท.จะต้องมีเงื่อนไขซึ่งเงื่อนไขพื้นฐานมีประการเดียวคือ ระบอบการปกครองเผด็จการหรือระบอบที่ยังไม่เป็นประขาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศชาติ และถ้าจะเอาชนะคอมมิวนิสต์ สิ่งที่ต้องทำคือทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ตกเป็นฝ่ายรับทางยุทธศาสตร์การเมืองหรือฝ่ายเราเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง การเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองต้องใช้มาตรการทางการเมืองคือมาตรการประชาธิปไตย ได้แก่การขยายเสรีภาพของบุคคลและการขยายอธิปไตยของปวงชน

รัฐบาลได้นำเอาสถานการณ์ยุทธศาสตร์ทางการเมืองการทหารในภูมิภาคมากำหนดแนวทางเอาชนะคอมมิวนิสต์ ในรูปคำสั่ง 66/23 และ 66/25 โดยหลังจากเวียดนามเอาชนะอเมริกาได้ พคว.กลัวจีนมีอิทธิพลเหนือจึงดึงรัสเซียมาสนับสนุนในเขตอิทธิพลของจีนทำให้ พคท.ที่จีนคุมอยู่มีฐานที่มั่นในลาวและเขมรถูกผลักดันให้มาอยู่ในไทย ไทยเห็นความแตกแยกระหว่าง พคจ.และ พคว.+พคซ. และความสัมพันธ์ที่มีต่อ พคท. ทำให้ใช้สถานการณ์ดังกล่าวเป็นประโยชน์คือ 1.ใช้ความขัดแย้งระหว่างพคจ. พคว. พคซ. พคล.ให้เกื้อกูลต่อชัยชนะเราให้มากที่สุด 2.ใช้ปัญหาใน พคท.เป็นประโยชน์ 3.ใช้เงื่อนไขในการมอบตัวต่อสู้ทางการเมืองโดยสันติ(ยกเลิกสงครามปฏิวัติโดยสิ้นเชิง) 4.ใช้ พคจ. พคว. พคล. และบังคับฝ่ายเขมรกดดันต่อ พคท.อีสานใต้ให้ยอมจำนน

ไทยใช้การเจรจาต่อรองกับจีนจนทำให้เกิดสงครามที่จีนสั่งสอนเวียดนามเพื่อเป็นการกำจัดอิทธิพลของรัสเซียที่ส่งผ่านมาทางเวียดนาม เพื่อเข้ามาแย่งชิงในเขตอิทธิพลของจีน รัสเซียหลังมีชัยชนะเหนืออเมริกาในสงครามเวียดนาม เกิดขัดแย้งกับจีน และมุ่งขยายอำนาจไปในเขตอิทธิพลของตนในอาฟกานิสถานจนต้องพ่ายแพ้ ขยายอิทธิพลในยุโรปก็ติดนาโต้ เกิดการรวมประเทศเยอรมัน ส่งผลให้สุดท้าย รัสเซียถูกปิดล้อม แล้วเจอพิษสงค์ของสงครามเศรษฐกิจจนกระทั่งล้มลง สงครามเย็นสิ้นสุด ไทยสั่งสอนเวียดนาม จีนสามารถกำจัดอิทธิพลรัสเซียในเวียดนาม ไทยไม่มีภัยคุกคามด้านตะวันออก เพราะเวียดนามต้องเคลื่อนพลไปยันชายแดนจีนแทน อเมริกาทำให้ขั้วสังคมนิยมขัดแย้งกันเองจนอ่อนแอ ไทยใช้เหตุการณ์ 14 และ 6 ต.ค. แยกขั้วฝ่ายซ้ายและขวาอย่างชัดเจน ต่อรองจีนเลิกสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แลกเปลี่ยนการรับอาวุธและการสนับสนุนจากจีนและอเมริกาแก่เขมรแดงขับไล่อิทธิพลเฮงสัมรินจากเขมร และในลาว หลังจากนั้นไทยออกนโยบาย 66/23 ให้คนหลงผิดออกจากป่ามาร่วมพัฒนาชาติเลิกการเข่นฆ่าระหว่างคนไทย เอาชนะลัทธิคอมลงไปได้ เหตุการณ์ ดังกล่าวคาดว่า CIA มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ด้วย ผมจึงมองว่าไม่ใช่สงครามล้มล้างเผด็จการ แต่มีการฉกฉวยสถานการณ์สร้างประโยชน์ตามแผนการมากกว่า ตามความคิดของผม ?

วัตถุประสงค์ทางทหารต้องตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการเมือง ?

การชนะสงครามอาจไม่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ แต่บางครั้งการพ่ายแพ้สงครามเล็กๆ อย่างสงครามเวียดนามแต่สามารถสร้างความแตกแยกของขั้วสังคมนิยมระหว่างจีนและรัสเซียจนกระทั่งเหลือขั้วเสรีประชาธิปไตยที่มีอเมริกาเป็นหัวขบวน ย่อมสร้างโอกาสในการเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลกได้ไม่ยาก โยการเมืองแทรกแซงทางการทหารด้วยการกำจัด JFK ซึ่งขัดขวางสงครามเวียดนามซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกภายในขั้วสังคมนิยม โดยการเมือง (ประธานาธิบดีซึ่งขึ้นสู่ตำแหน่งหลัง JFK เสียชีวิต สั่งคงการสนับสนุนการทำสงครามเวียดนาม) แล้วประธานาธิบดีดึงอำนาจในการกำหนดแฟ้มเป้าหมายในการโจมตีต่อเส้นทางลำเลียงที่สำคัญ(โจมตีใส่เป้าหมายไม่สำคัญ) การใช้ทหารไม่ชำนาญการรบฝึกเพียงไม่กี่เดือนไปรบ การตั้งฐานทัพในลักษณะเดียวกันกับค่ายเดียนเบียนฟูของฝรั่งเศสซึ่งเวียดนามสามารถเอาชนะได้ในที่สุด ทำให้อเมริกาสูญเสียกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์มาก แล้วสร้างกระแสต่อต้านสงครามในประเทศอเมริกา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้จีนและรัสเซียรวมทั้งทั่วโลกหลงเชื่อว่าอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนามจริง ในช่วงแรกจีนและรัสเซียร่วมกันทำสงครามเวียดนามกับอเมริกา จนมีแนวโน้มว่าอเมริกาจะแพ้ เวียดนามกลัวว่าตนจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน จึงดึงรัสเซียมาคานอำนาจ จนยิ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างสองชาติเนื่องจากแบ่งแยกเขตอิทธิพลระหว่างกันแล้วรัสเซียยังมาแย้งจีนอีก ? นี่เป็นอีกมุมมองที่ผู้วิเคราะห์ทั่วไปอาจจะมองข้ามพราะอเมริกาใช้สงครามข้อมูลข่าวสารทำให้เชื่ออย่างที่ต้องการให้เชื่อ ?
-----------------------
แฉขบวนการลับฆ่าตัดหัวโหมไฟใต้.?.!!!

(ข้อมูลขบวนการก่อการร้ายในฟิลิปปินส์  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ไทย  บาหลี)


ลึกปฏิบัติการฆ่าตัดหัว "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" CIA. อยู่เบื้องหลังสั่งการ "กองกำลังชุดดำ"อำนาจแฝงรัฐ ปฏิบัติการสร้างสัญลักษณ์ ก่อการร้ายสากล หวังยุยงไทยพุทธมุสลิมขัดแย้ง 


ปรากฏการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ที่ทวีความเหี้ยมโหดของวิธีการสร้างความสะพรึงกลัวให้กับชาวบ้านขึ้นเป็นทวีคูณจนอาจนำไปสู่การอพยพออกนอกพื้นที่ เมื่อคนร้ายได้ปฏิบัติการสังหาร "นายเซี่ยง พลัดแก้ว" ชาวไทยพุทธ โดยการตัดหัว และนำศีรษะไปวางประจานบนถนนใหญ่ในหมู่บ้านโต๊ะเด็ง หมู่ ๑ ด้านหลังสถานีอนามัยโต๊ะเด็ง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหง ปาดี จ.นราธิวาส พร้อมกับทิ้งใบปลิว ๑ ฉบับ มีข้อความว่า "ถ้าพวกมึงยังจับชาวมาลายูที่บริสุทธิ์ พวกกูก็จะฆ่าชาวไทยพุทธผู้บริสุทธิ์" (๒๙ พ.ค. ๔๗) ซึ่งเหตุการณ์นี้ ตามรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก อาทิ เอพี.,รอยเตอร์ ถือเป็นการสังหารโหดของกลุ่มก่อการร้ายที่ใช้วิธีการตัดคอเหยื่อเป็นครั้งแรกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากเกิดสถานความรุนแรงตั้งแต่ ๔ ม.ค. ๔๗    เป็นต้นมา


ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ในขณะที่มีข่าวรัฐบาลเตรียมดำเนินการกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นหลังจากที่ชื่อของ "๓ส." ถูกรายงานถึงนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ ๓ จาก "นายเด่น โต๊ะมีนา" สว.ปัตตานี อันเป็นการรายงานข้อมูลให้หลัง "นายนัจมุดดิน อูมา" ส.ส.นราธิวาส ในขณะที่รายงาน "ข้อมูลเชิงลึก" ที่ขยายภาพ "ขบวนการก่อการร้าย" ในพื้นที่ภาคใต้ได้อย่างชัดเจน "ชิ้นสำคัญ" ชิ้นหนึ่ง กำลังถูกถึงนายกรัฐมนตรี


@@ใครฆ่าตัดหัวไทยพุทธ

ตาม "ข้อมูลลับ" ที่รายงานเกี่ยวกับกลุ่มขบวนการก่อการร้ายในพื้นที่ โดยรายงานถึงผู้ที่คาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการและอยู่เบื้องหลัง การปฏิบัติการฆ่าตัดคอ "นายเซี่ยง" ชาวไทยพุทธ ใน ต.โต๊ะเด็ง ซึ่งวิเคราะห์และรายงานโดยหน่วยข่าวกรองรัฐบาลไปยัง "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" รองนายกรัฐมนตรี และ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร" นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแหล่งข้อมูลจาก "สายข่าว" ที่เป็นแกนนำมุสลิมในพื้นที่ ระบุถึง "ชุดปฏิบัติการ" ฆ่าตัดคอชาวบ้าน (๒๙ พ.ค. ๔๗) ว่าชุดปฏิบัติการดังกล่าวมี "พยาน" พบเห็นว่าแต่งกายชุดดำติดอาวุธครบ โดยกองกำลังชุดดังกล่าวเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่หลายวันแล้วและยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง ตามรายงานลับ ระบุด้วยว่า "กองกำลังชุดดำติดอาวุธ" ดังกล่าวมี "กองกำลังอำนาจแฝง" ซึ่งเป็นกำลังในหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ ๒ หน่วยงานหลัก ที่มีบทบาทจัดการปัญหาในพื้นที่ ซึ่งไม่ขึ้นตรงต่ออำนาจรัฐส่วนกลาง ร่วมกับกลุ่มลัทธิ "วะฮาบี" ซึ่งเป็นกลุ่มปฏิบัติการในกลุ่ม "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" ที่มีองค์กรนอกประเทศอยู่เบื้องหลังและการปฏิบัติการในลักษณะการตัดหัวเหยื่อ ก็เพื่อที่  จะให้ เกิดสัญลักษณ์เชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์สากล


@@แม่ทัพ ๔ ชี้ "ซาฮีต-วะฮาบี"


อย่างไรก็ตาม ทางด้าน "พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี" แม่ทัพภาคที่ ๔ (๓๑ พ.ค. ๔๗) ระบุว่า ได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า เหตุการณ์ฆ่าตัดคอ "นายเซี่ยง" เป็นฝีมือของกลุ่ม "ชาฮีต" เครือข่ายของ "ลัทธิวะหะบีห์" ที่แทรกซึมเข้ามาปฏิบัติการก่อกวนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหัวขบวนการใหญ่สุดของเครือข่ายนี้คือกลุ่มก่อการร้าย "อัล เควดา" องค์กรก่อการร้ายสากลที่แตกแขนงออกไปเป็นกลุ่มหรือลัทธิ "วะหะบีห์" มีเครือข่ายในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย กลุ่มเจไอ ประเทศอินโดนีเซีย กบฏอาบูไซยาฟ ประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มเอ็มเอ็มพี ประเทศ มาเลเซีย และกลุ่มชาฮีต ในประเทศไทย นับเป็นขบวนการก่อการร้ายกลุ่มใหม่ที่หน่วยข่าวกรองกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด ข้อมูลของ "พล.ท.พิศาล" ดูจะสอดรับกับ "ข้อมูล" ที่ นสพ.ร่วมด้วยช่วยกันเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ว่าลัทธิ "วะฮาบี" มีฐานมวลชนเยาวชนมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้จำนวนมาก โดยมีทั้งนักวิชาการ ครูสอนศาสนา เป็นตัวเชื่อมโยง ซึ่งในประเทศไทยตัวเชื่อมโยงสำคัญคือ "อ." ซึ่งเป็นนักวิชาการ และ "ส." ซึ่งเป็นนักการเมือง


@@ 'โภคิน' ล่า "๓ส." ผู้มีอิทธิพล


สำหรับทางด้านความคืบหน้าการติดตามหาตัวบงการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ได้ปรากฏความคืบหน้าผ่านท่าทีของ "นายโภคิน พลกุล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (๒๘พ.ค.๔๗)ที่สั่งการให้นายศิวะ แสงมณี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ทำการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่ามีรายชื่อของ "๓ ส" เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบหรือไม่ พร้อมกับให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินย้อนหลัง๑ ปี ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบของชาวมุสลิมทั้งในและต่างประเทศที่สำคัญ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็นในการที่จะก่อเหตุอีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม น่าสนใจที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ที่ผ่านมาได้พูดชัดเจนแล้ว ว่า "หลังวันที่ ๒๘ เมษายน ผู้ที่ก่อเหตุความไม่สงบจะกลับมาใช้วิธีการก่อเหตุในลักษณะเดิม คือการทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน" ดังนั้นทุกฝ่ายต้องใช้ความอดทน พร้อมทั้งต้องแยกแยะสถานการณ์ เพราะอาจมีการผสมโรงของบุคคลที่ ๓ ได้


@@เผย๕เป้ายุทธศาสตร์ก่อการ


การขยายความเพื่อให้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ตามที่ "นายโภคิน" ระบุว่า "ผู้ก่อการร้าย"ได้มีการกลับมาใช้วิธีการก่อเหตุในลักษณะเดิม คือทำร่ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนนั้น ดูจะสอดรับกับ "ข้อมูล" ที่ "นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน" ได้มาล่าสุด (๓๑พ.ค.๔๗) ว่า "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" ที่มีมหาอำนาจชาติตะวันตกสนับสนุนผ่าน"ลัทธิวะฮาบี"นั้นพยายามที่จะลอกแบบ "ยุทธวิธี" ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเดิม ที่ปัจจุบันมาร่วมกันอยู่ในองค์กร "เบอร์ซาตู" แต่มีความแตกต่างในด้านอุดมการณ์ โดยในด้านการโฆษณาช่วยเชื่อให้เยาวชนหันมาเป็นมวลชนร่วมนั้น มีการปลูกฝั่งจิตสำนึก ๕ ข้อ คือ "๑.เราคือมาลายู...๒.เราคืออิสลาม...๓.เราคือสาธารณรัฐปัตตานี..๔.เราถูกยึดครอง...และ๕.เราถูกรุกราน เราต้องสู้..


ทั้งนี้ลัทธิดังกล่าว มียุทธศาสตร์เร่งเร้าการสร้างสถานการณ์ โดยมีเป้าหมาย ๕ ข้อคือ ๑.สร้างความแตกแยกไทยพุทธมุสลิม ๒.สร้างความเกลียดชังรัฐบาล ๓.ให้ภาครัฐเอือมระอาชาวมุสลิมภาคใต้ ๔.ให้รัฐบาลไทยระแวงรัฐบาลมาเลเซีย ๕.และให้รัฐบาลมาเลเซียขัดแย้งกับรัฐบาลไทย


@@ฝีมือขจก.จัดตั้ง๘๐%

เพื่อฉายให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ตาม"ข้อมูลลับ"ชุดเดียวกันมีการอธิบายขยายภาพของ"ขบวนการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นับตั้งแต่ ๔ ม.ค ๔๗ (ปฏิบัติการปล้นปืน เจาะไอร้อง) จนถึง ๒๘ เม.ย.(เหตุการณ์ ๑๐๘ ศพ มัสยิดกรือเซะ) โดยแยกกลุ่มขบวนการก่อการร้ายเป็น ๒ ประเภท คือ            ๑.ขบวนการก่อการร้ายที่มีอุดมการณ์ ๒.ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง โดยมหาอำนาจชาติตะวันตก โดยเหตุการณ์ความไม่สงบตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ๘๐%เป็นฝีมือของ "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" อีก ๒๐% เป็นการเคลื่อนไหวของ "ขบวนการก่อการร้ายที่มีอุดมการณ์"


สำหรับกลุ่มก่อการร้ายที่มีอุดมการณ์นั้น คือ กลุ่มขบวนการที่มารวมกันอยู่ภายใต้กลุ่ม "เบอร์ซาตู"หรือกลุ่มเอกภาพ ประกอบด้วย พูโล พูโลใหม่ BRN.โคออดิเนท,BRN.ครองเกรส ,GMIP.หรือ "เจอราจาน มูจาฮีดีน อิสลาม ปัตตานี"

ส่วนกลุ่ม "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" ประกอบไปด้วย "กองกำลังอำนาจแฝงของรัฐ" ที่มีทหาร ตำรวจ เข้าไปเกี่ยวข้อง ผู้มีอิทธิพลค้ายาเสพติด ของหนีภาษี อำนาจมืด ผู้เสีย ผลประโยชน์ ซึ่งบางครั้ง กลุ่มนี้ก็อาศัยจ้างวาน กลุ่มขบวนการก่อการร้ายที่มีอุดมการ เข้าร่วมในเหตุการณ์เพื่อสร้างน้ำหนัก เช่นเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ กับปรากฏการณ์ ๑๐๘ ศพ (๒๘เม.ย.๔๗) ส่วนเหตุการณ์ปล้นปืน "เจาะไอร้อง" เป็นฝีมือของ "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" 


@@เปิดตัวละครเชื่อมGMIP.

น่าสนใจยิ่ง หลังแยกภาพออกมาชัดเจนว่า กลุ่มปฏิบัติการก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้มีใครบ้าง โดยเฉพาะเมื่อโฟกัสไปที่ "ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง" ซึ่งถูกระบุจากหน่วยข่าวกรองชัดเจนว่า อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการ "ตัดหัว" ชาวไทยพุทธ โดยร่วมกับกลุ่ม "ลัทธิวะฮาบี" และในการปฏิบัติการที่มัสยิดหรือเซะ มีการว่าจ้างกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในกลุ่มอุดมการณ์ คือ กลุ่ม GMIP.เข้าร่วมในปฏิบัติการ


ทั้งนี้ตามข้อมูลการออกมาเปิดเผยของ "ดร.ฟาเดร์ เจ๊ะมาน" หรือ "มะหะดี ดาโอ๊ะ" แกนนำเบอร์ซาตู ที่มีการยืนยันว่า เบอร์ซาตู ไม่ได้เกี่ยวข้องทั้งเหตุการณ์ปล้นปืนและเหตุการณ์๑๐๘ศพมัสยิดหรือเซะ ซึ่งหลังจากนั้นได้มีข้อมูลจาก ดร.ฟาเดร์ เกี่ยวกับ GMIP.ที่มี "นายมาโซตาแยะ"   "นายอัจมิน อารง" มีการเคลื่อนไหวแถว อ.เบตง และ เจาะไอร้อง โดยกลุ่มคนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ "ด." และ "พล.อ."ณ" และ "พล.ต.อ."ส." โดยยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงกรณี ทหารพราน๗-๘คน ที่ถูก "พล.อ.ชวลิต" สั่งย้าย ซึ่งมีชื่อ "ร.ท.มาแอ ยาโก๊ะ" ซึ่งข้อมูลลับอ้างว่าเป็นมือสังหาร


@@GMIPแหกมติเบอร์ซาตู

ตามข้อมูล ที่รายงานถึง"เบอร์ซาตู"ของหน่วยข่าวกรอง สอดรับกับคำปฏิเสธของ "ดร.ฟาเดร์" ที่แม่ทัพภาคที่๔วางแผนจะเข้าไปพูดคุยเจรจาแต่ก็เป็นอันต้องพับโครงการไป ดูเหมือนว่า จะพุ่งเป้าไปที่ เหตุการณ์ปล้นปืนเจาะไอร้อง (๔ม.ค.๔๗)ว่าเป็นฝีมือของGMIP.ที่อยู่ใน"เบอร์ซาตู"แต่ได้แหกมติของเบอร์ซาตู ไปปฏิบัติการร่วมกับ"ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง"ของมหาอำนาจตะวันตก และ"ลัทธิวาฮะบี"โดยเบื้องหลังของ GMIP. นั้นได้ไปรับจ้างจาก"กลุ่มผู้บงการ"ที่เป็น นักการเมืองใน "๓ส."ให้ปฏิบัติการร่วมกับ กำลังอำนาจแฝง และ กำลังของ"วาฮะบี"


ทั้งนี้ ในปี ๒๕๓๖ ในที่ประชุมองค์กรร่วมอุดมการณ์ที่เข้ามาร่วมกันเป็นองค์กรสูงสุด"เบอร์ซาตู"ได้มีมติที่จะไม่ให้มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองประชาชน แต่จะยังคงมีความเคลื่อนไหวปฏิบัติการ เพื่อแสดงผลงาน เช่นในปี ๒๕๔๕ ให้พูโลปฏิบัติการ ปี๒๕๔๖ ให้GMIP.ปฏิบัติการ ปี๒๕๔๗ ให้ BRN.ปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามในปี ๒๕๔๗ BRN.ไม่ได้มีความเคลื่อนไหว แต่ GMIP.กลับทำการเคลื่อนไหวโดยไปรับจ้างกลุ่มอิทธิพลปฏิบัติการ


@@JIสิงคโปร์ประสาน"ร.ท.KA."

รายงานชิ้นนี้ยังระบุด้วยว่า ในปี ๒๕๔๗ ที่กลับกลายเป็นการปฏิบัติการของ GMIP.นั้นมีการพบว่า ได้ทำงานให้กับ" ขบวนการ เจ.ไอ. (เจมาอิสลามิยาของสิงคโปร์ไม่ใช่อินโดนิเซีย) ภายใต้การกำกับดูแลของมหาอำนาจชาติตะวันตก โดยการดำเนินการกระทำโดยผ่านการจ่ายเงินที่ บริษัท "ต.บ.ห." ของ(๕ส.) ทั้งนี้โดยการประสานงานผ่าน "ร.ท.KA." หรือ "ร.ท.มะแอ คาโก๊ะ" มีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อ ดิสเครดิตรัฐบาลปัจจุบัน ต่อรองทางด้านยุทธศาสตร์ และสนับสนุนทางการเมืองกับกลุ่มการเมืองตรงข้ามรัฐบาล


ทั้งนี้ ตามรายงานลับ ระบุในบรรยาย ด้วยว่า ปฏิบัติการ ๔ม.ค.๔๗ BRN.ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ได้สมาชิกบางคนเข้าไปรับจ้าง ซึ่งอาวุธปืนส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ที่...............(เจาะไอร้อง) และ "ชุดดำ"(........................)ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในเจาะไอร้อง

@@BRN.แค้นถูกจับมั่ว

อย่างไรก็ตามรายงานลับ ได้ระบุ ว่า ผลจากเหตุการณ์ ๔ม.ค.๔๗ ปฏิบัติการเจาะไอร้อง ทางการได้ทำการจับกุม คนในกลุ่ม BRN.ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้เข้าปฏิบัติการ ทำให้หลังจากนั้น ได้เกิดมีการตอบโต้ของกลุ่มบีอาร์เอ็น.กับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีการ เผาโรงเรียน และ ฆ่าตำรวจ แต่ไม่ได้ทำการฆ่าชาวบ้าน หรือ ฆ่าพระ แต่อย่างใด

ข้อมูลชุดเดียวกันนี้ ยังมีการสรุปด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐไม่สามารถจับผู้กระทำผิดได้จริง (โดยเฉพาะขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง) โดยส่วนใหญ่ที่มีการจับกุม(โดยกองกำลังอำนาจแฝงตำรวจทหาร) มักไปทำการจับกุม กลุ่มขบวนการพูโล และ บีอาร์เอ็น.ทั้งสิ้น


@@เสนอรัฐแก้๓ยุทธศาสตร์

จากปัญหาดังกล่าว แกนนำมุสลิมสายชีอะห์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังได้มีการนำเสนอทางออกการแก้ไขปัญหา"ขบวนการก่อการร้าย"ให้กับรัฐบาล ๓ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาแบ่งแยกดินแดน, ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาขบวนการก่อการร้าย, มาตราการแก้ปัญหาอาชญากรรมปกติ ทั้งนี้ยังรวมถึงข้อเสนอให้ใช้นโยบายการเมืองนำการทำหาร ตามมาด้วย เศรษฐกิจนำการเมือง และ แผนงานว่าด้วยการพัฒนาภาคใต้ ทั้งทางด้านการศึกษา สังคม ซึ่งเป็นไปตามที่"พล.อ.ชวลิต"เคยนำเสนอก่อนหน้านี้

@@แฉแผนลับป่วนใต้


อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า ขบวนการก่อการร้ายจัดตั้ง ซึ่งมีการว่าจ้างขบวนการก่อการร้ายบางองค์กรอย่าง GMIP. ทำการปฏิบัติการในพื้นที่ภาคใต้บางปฏิบัติการนั้น ในความเป็นไปของขบวนการนี้ ยังได้มีความพยายามสร้างฐาน"มวลชน"ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการในอนาคตตามแผนยุทธศาสตร์การสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย ทั้งนี้ โดยก๊อบปี้แบบจากองค์กร บีอาร์เอ็น.เพียงแต่ว่า องค์กรที่กำลังมีความพยายามสร้างฐานเยาวชน ประชาชนนี้ อยู่ภายใต้"ลัทธิวะฮาบี"ซึ่งขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อยุทธวิธีบรรลุยุทธศาสตร์ ก็คือ การวางแผนให้เยาวชนจำนวน ๑.๕ แสนคน สร้างสถานการณ์จราจลในพื้นที่ภาคใต้ และให้ชุดคอมมานโดที่สร้างขึ้นมาเป็นกองกำลังของขบวนการจำนวน ๕,๐๐๐ คน ทำการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เพื่อทำให้เกิดภาพของ"สงครามกลางเมือง"ในพื้นที่ จากนั้น จะให้"เยาวชนอีก ๑.๕ แสนคน และคอมมานโด อีก ๕,๐๐๐ คน เร่งเร้าสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายทั้งระบบในภาคใต้ โดยทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น จากนั้นจะยกระดับไปสู่การเร่งเร้าในประเด็นการแบ่งแยกดินแดน

@@แผนร้ายใกล้บรรลุ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการระดมมวลชนเยาวชนในระดับเรือนแสนขนาดนั้น จะเป็นไปได้ยากเพราะต้องอาศัยระยะเวลา แต่ตามรายงานของหน่วยข่าวลับ ยืนยันว่า ขณะนี้ผลการปฏิบัติการของขบวนการจัดตั้ง เหล่านี้ สามารถสร้างสมาชิก ที่มีทั้งโต๊ะครู กก.กลางอิสลาม เยาวชน ครูปกเนาะ นักเรียนในหมู่บ้าน รวมถึงสมาชิกแกนบ้าน(ตำรวจบ้าน)รวมได้ประมาณ ๔ หมื่นคนแล้ว ในขณะเดียวกันข้อสรุปยังระบุว่า รัฐบาลปัจจุบันเพลี่ยงพล้ำเพราะก่อนหน้านี้ได้มีการปฏิบัติการทางทหารนำการเมือง ทำให้ นักวิชาการ องค์กรอิสลาม และชาวมุสลิม ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะสิ่งที่รัฐดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่ ได้ทำลายพวกเขา นอกจากนี้ จากข้อประเมินยังพบว่าปฏิบัติการปราบปรามของรัฐอย่างรุนแรงนั้น ทำได้แค่"พวกปลายแถว"ของขบวนการผู้ก่อการร้ายจัดตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ทำผิดกฎหมายอาญา ไม่สามารถจัดการได้กับตัวผู้บงการหรือร่วมขบวนการ ในขณะที่ฝ่ายปฏิบัติการก็ยังคงสามารถเร่งเร้าสถานการณ์ได้รุนแรงขึ้น ทั้งยังมีการแจกใบปลิวสร้างความสับสน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนเริ่มเฉยเมยต่อการให้ความร่วมมือรัฐบาล
ทั้งหลายทั้งปวงคือ กระบวนการความเป็นไปที่รัฐยังจะต้องจัดการขยายภาพความเข้าใจเหล่านี้ทั้งฝ่ายปฏิบัติการและประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการตรึงกำลังส่วนที่เชื่อถือได้ในพื้นที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ซับซ้อนดังกล่าว ก่อนที่จะบานปลายไปกว่านี้
--------------

สยองฆ่าตัวหัว


ไฟใต้ลามต่อ

- จากเหตุการณ์ "ฆ่าตัดหัว" เมื่อเวลา ๐๕.๕๐ น. วันที่ ๒๙ พ.ค. ๔๗ ที่ผ่านมา ตามที่ สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ได้รับแจ้งพบศีรษะมนุษย์ถูกตัดวางอยู่บนถนนในหมู่บ้านโต๊ะเด็ง ต.โต๊ะเด็ง จึงรุดไปที่เกิดเหตุ พบศีรษะคนวางอยู่บนถนนมีรอยถูกฟันด้วยของมีคม ระหว่างนั้น ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านอีกว่าพบศพคนถูกฆ่าตัดหัวในสวนยางพารา ห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร จึงรีบไปตรวจสอบทราบว่า เจ้าของศีรษะที่ถูกตัดประจานไว้กลางถนนคือนายเซี่ยง พัดแก้ว ชาวสวนยาง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ทิ้งร่างนอนตะแคงจมกองเลือดคร่อมรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าสีแดง บนรถมีใบปลิวของคนร้ายทิ้งเอาไว้ ๑ ฉบับ มีข้อความว่า "ถ้าพวกมิงยังจับชาวมลายูที่บริสุทธิ์ พวกกูก็จะฆ่าพวกไทยพุทธที่บริสุทธิ์" จึงได้เก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ตายได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปกรีดยางในสวนของญาติ ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายคาดว่ารู้จักกันเรียกพูดคุย พอสบจังหวะใช้มีดกระหน่ำฟันจนคอขาดกระเด็น จากนั้นได้หิ้วศีรษะของผู้ตายไปวางประจานไว้บนถนน


- ถัดมาไม่กี่ชั่วโมง เมื่อเวลา ๑๑.๓๐ น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.นเรศร์ อินทรพรหม ผกก.สภ.อ.ระแงะ นำกำลังไปสอบสวนเหตุคนร้ายใช้มีดสปาร์ตาไล่ฟันชาวบ้าน ได้รับบาดเจ็บในสวนลองกองที่บ้านกะลูโก ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส พบ นายฟุ๊ค พฤษพงศ์ อายุ ๖๓ ปี กับนางประไพ อายุ ๕๗ ปี ภรรยา เจ้าของสวน ยืนรอตำรวจ โดยแขนซ้ายของนายฟุ๊คถูกฟันจนห้อยเลือดไหลโซมกาย ส่วนนางประไพใบหน้าฟกช้ำบวมปูด จึงนำทั้งคู่ส่ง รพ.นราธิวาสราชนครินทร์ จากการสอบสวนทราบว่า นายฟุ๊คเป็นอดีต อส.อ.ระแงะ ขณะที่ทั้ง ๒ ดูแลสวนลองกอง มีคนร้ายวัยรุ่น ๔ คน ใส่ชุดดาวะห์สีดำถือมีดสปาร์ตา ๒ เล่ม บุกเข้าไปไล่ฟันนายฟุ๊ค ส่วนอีก ๒ คน ตรงเข้าชกต่อยนางประไพ แต่นายฟุ๊คซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่เห็นเมียถูกทำร้ายเกิดฮึดสู้ คว้ามีดพร้าสู้คนร้ายอย่างถวายชีวิต จนทำให้กลุ่มโจรถอดใจวิ่งหนีไป


- จนกระทั่งเวลา ๑๖.๔๕ น. ขณะที่ ด.ต.ชาญณรงค์ แสงไกรจักร์ อายุ ๔๘ ปี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.อ.บันนังสตา ขี่รถจักรยานยนต์จะไปรับลูกสาวถึงบริเวณสามแยกบ้านเงาะกาโป หมู่ ๓ ต.บันนังสตา ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนขับปิกอัพสีขาวตามประกบแล้วจ่อยิงด้วยปืน .๔๕ เข้าตามลำตัว ๓ นัด ร่างกระเด็นตกจาก จยย. หลังเกิดเหตุพลเมืองดีนำส่ง รพ.บันนังสตา และถึงแก่ชีวิตในเวลาต่อมาหลังรับแจ้ง พ.ต.อ.ฐานะ สัตยานุมัฏฐ์ ผกก. และกำลังไปสอบสวน คาดเป็นฝีมือกลุ่มโจรลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ตามแผน "ใบไม้ร่วง" อีกรายเวลา ๐๕.๓๐ น. วันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้น้ำมันเบนซินราดและจุดไฟเผารถ จยย.ที่บ้านเลขที่ ๕/๑ หมู่ ๑ ต.ยะกา อ.ยะหา หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.วิจารณ์ จินดารัตน์ สวส.สภ.อ.ยะหา ไปตรวจสอบพบรถ จยย.ของนายสกรี ดิแบ อายุ ๓๗ ปี เจ้าของบ้านถูกไฟเผาวอด เบื้องต้นสันนิษฐานอาจเป็นเรื่องล้างแค้นส่วนตัวและสร้างสถานการณ์ของโจร


- เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นเมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น. เกิดเหตุคนร้ายไล่ฟันคนบาดเจ็บอีกรายที่ จ.นราธิวาส เหตุเกิดบนถนนบ้านไอร์-ปาตู หมู่ ๒ ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี และมีคนบาดเจ็บ ๑ คน หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ต่วนอิสมาแอ ดาโอ๊ะมารียอ ผกก.สภ.อ.สุไหงปาดี นำกำลังไปสอบสวน ทราบคนเจ็บถูกนำส่ง รพ.สุไหงปาดี ชื่อนายศิริชัย แซ่จ่าง อายุ ๔๗ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๙/๑ หมู่ ๒ ต.ปะลุรู เจ้าของโรงสีที่เคยถูกคนร้ายลอบเผาเมื่อวันที่ ๗ พ.ค. ที่ผ่านมา ถูกฟันด้วยมีดสปาร์ตาเข้าที่ต้นคอ สอบสวนทราบว่า ขณะที่นายศิริชัยขี่รถ จยย.ไปธุระถึงที่เกิดเหตุถูกคนร้าย ๒ คน ตามประกบแล้วใช้มีดฟัน แต่เหยื่อเร่งเครื่องหนีจนรอดตายหวุดหวิด สันนิษฐานเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มโจร


- จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ก่อนรุ่งสางของวันที่ ๑ มิ.ย.๔๗ เวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. พ.ต.ท.วีรชาติ คูหามุข สารวัตรเวร สภ.อ.เมืองปัตตานี ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้าไปทำลายทรัพย์สินภายในสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนียว ต.ตันหยงลุโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี ห่างจากมัสยิดกรือเซะประมาณ ๔๐ เมตร จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยนายมานิต วัฒนเสน รองผู้ว่าราชการจังหวัด และกำลังตำรวจทหารกว่า ๕๐ นาย เมื่อมาถึงยังที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้ใช้มีดฟันตะเกียงน้ำมันสูงประมาณ ๑.๕ เมตร ที่ตั้งอยู่หน้าสุสานเจ้าแม่เพื่อใช้เซ่นไหว้จนหัก ๒ ท่อนล้มระเนระนาดจำนวน ๖ อัน นอกจากนี้คนร้ายยังทุบกระถางต้นไม้ กระถางดอกบัวขนาดใหญ่แตก ฟันต้นไม้ ฟันป้ายและพยายามเผาธงที่ปักไว้บริเวณหน้าสุสานด้วย คนร้ายยังได้ลอบวางเพลิงอาคารจำหน่ายเครื่องเซ่นไหว้ เลขที่ ๑๗๕ ม.๓ ต.ตันหยงลุโล๊ะ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสุสาน จนเพลิงได้เผาชั้นวางของและหน้าต่างได้รับความเสียหาย แต่โชคดีที่ผู้เห็นเหตุการณ์สามารถช่วยกันดับเพลิงไว้ทันก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ นอกจากนี้คนร้ายยังเข้าไปฉีกเอกสารที่ติดประกาศไว้ด้านหน้ามัสยิดกรือเซะซึ่งห่างจากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนียวประมาณ ๔๐ เมตร สำหรับสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนียวแห่งนี้เคยเกิดเหตุลอบวางระเบิดมาแล้วเมื่อปี ๒๕๔๔


ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์คนร้ายฆ่าตัดคอชาวบ้านว่า "มีคนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน จ.นราธิวาสคล้ายกับการฆ่าตัดคอข่มขู่ในอิรัก ผมมองว่ามันไม่เกี่ยวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นเรื่องการมอมเมาศาสนาในทางที่ผิด ซึ่งชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่มีกลุ่มคนอยู่ไม่กี่คนพยายามสร้างสถานการณ์อย่างไม่หยุดยั้ง เราจึงต้องใช้ความอุตสาหะต่อไป สำหรับการดูแลชาวสวนยางที่ต้องออกไปกรีดยางช่วงเช้ามืดนั้น ได้สั่งให้จัดชุดคุ้มครองชาวสวนยาง โดยมอบให้ทหารเข้าไปดูแลแล้ว เพื่อให้คนสามารถทำมาหากินได้ตามปกติ"


ขณะเดียวกัน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ที่มีการฆ่าตัดคอคนไทยพุทธว่า "ภายใน ๑-๒ วันนี้ จะตรวจสอบกับกระทรวงกลาโหมที่รับผิดชอบด้านการใช้กำลัง และกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลด้านการระวังป้องกันในหมู่บ้าน รวมทั้งตรวจสอบความคืบหน้าการทำงานด้วย เพราะให้เวลามานานพอสมควร ๑๐๐ กว่าวัน หรือเกือบจะ ๒๐๐ วันได้แล้ว ถ้ายังไม่มีอะไรชัดเจน ก็ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจน เพราะอะไรยังจัดการไม่ได้ ถึงแม้ว่าในแต่ละวันจะมีเหตุเกิดขึ้นเพียง ๑-๒ เหตุก็ตาม ทำไมยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ จำเป็นต้องมาดูกันภายในสัปดาห์นี้ ส่วนที่จะไปร่วมพิธีเวียนเทียนวันวิสาขบูชา ในวันที่ ๒ มิ.ย.นั้น จะไปแบบเช้ากลับเย็น ไม่ค้างคืน"


ทางด้าน นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่ประชาชนถูกฆ่าตัดคอที่ จ.นราธิวาสว่า "เป็นการพยายามหาทางทำร้ายประชาชน และเจ้าหน้าที่มากขึ้นและเป็นการเลียนแบบเหตุการณ์ที่อิรัก คนพวกนี้แย่มากที่บอกว่าเราจับคนบริสุทธิ์ของเขาจึงต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง ถ้าไม่เชื่อระบบกฎหมายก็อยู่กันไม่ได้ต้องจับตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะถือว่าไม่ยอมรับอะไรสักอย่าง คนพวกนี้ต้องการก่อความวุ่นวายให้ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมมีปัญหา แต่ต้องขอขอบคุณชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมที่ยืนหยัดอดทนเต็มที่"


ขณะเดียวกันทางด้าน นายวิชม ทองสงค์ ผวจ.นราธิวาส เปิดเผยหลังได้รับรายงานว่า พฤติกรรมของคนร้ายโหดเหิ้ยม ป่าเถื่อนมาก ฆ่าตัดคอชาวสวนยางที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ มีความพยายามที่จะสร้างความแตกแยก โดยดึงเอาศาสนามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ชาวไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แสดงว่ายังมีคนที่ไม่ต้องการให้บ้านเมือง สงบต้องเอาตัวการพวกนี้มาดำเนินคดีให้ได้ สำหรับใบปลิวที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ ขู่จะฆ่าชาวไทยพุทธผู้บริสุทธิ์อีกนั้นเป็นการข่มขู่ฆ่า ชาวไทยพุทธครั้ง ๒ โดยครั้งแรกทิ้งใบปลิวในที่เกิดเหตุฆ่า ๓ ศพ ที่บ้านน้อมเกล้า ต.สุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ ๑๙ พ.ค.ที่ผ่านมา ได้สั่งให้นำใบปลิวทั้ง ๒ แห่ง ไปตรวจสอบเปรียบเทียบว่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันหรือไม่ เพื่อจะได้ติดตามล่าตัวต่อไป"
-----------

ย้อนรอยตำนานฆ่าตัดหัว


สัญลักษณ์โจรแยกดินแดน

จากเหตุการณ์ฆ่าตัดหัว นายเซี่ยง พัดแก้ว ชาวสวนยาง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการของไทยคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่ม "ชาฮีต" เครือข่ายของลัทธิวะหะบีห์ ที่แทรกซึมเข้ามาปฏิบัติการก่อกวนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหัวขบวนการใหญ่สุดของเครือข่ายนี้คือกลุ่มก่อการร้าย "อัล เคดา" องค์กรก่อการร้ายสากลที่แตกแขนงออกไปเป็นกลุ่มหรือ "ลัทธิวะหะบีห์" ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มเจไอ ประเทศอินโดนีเซีย กบฏอาบูไซยาฟ ประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มเอ็มเอ็มพี ประเทศมาเลเซีย และกลุ่มชาอีต ในประเทศไทย


กลุ่มก่อการร้าย อัล เคดาห์ เป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายที่นิยมใช้ความรุนแรง และการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องและต่อรองกับฝ่ายตรงข้าม การปฏิบัติการที่สำคัญของกลุ่มอัล เคดาห์ คือ การโจมตีแบบระเบิดพลีชีพ การใช้คาร์บอมบ์ การตัดหัวตัวประกัน ฯลฯ เหตุการณ์สำคัญที่กลุ่มการร้ายนี้เข้าไปมีส่วนร่วมคือ เหตุการณ์ช็อคโลกเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน หรือ "๙๑๑" ที่ลือลั่นไปทั่วโลก และล่าสุดจากเหตุการณ์ตัดหัวตัวประกัน ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ก่อนแพร่ภาพสู่สายตาชาวโลก กลุ่มเจไอ หรือ เจมาห์ อิสลามิยาห์ ซึ่งฝังตัวอยู่ในเขตประเทศอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายที่แตกตัวออกมาจากลัทธิวะหะบีห์ เคยถูกทางการของอินโดนีเซียกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายๆ เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย มีวิธีการลงมือปฏิบัติการคล้ายคลึงกับอีกหลายกลุ่ม ซึ่งนิยมความรุนแรง อาทิ การใช้ระเบิดพลีชีพ คาร์บอมบ์ และระเบิดเวลา เหตุระทึกขวัญชาวอินโดนีเซียที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลก คือการใช้ระเบิดพลีชีพและคาร์บอมบ์ เข้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไนท์คลับ บนเกาะบาหลี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลียพันธมิตรของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา


กบฏแบ่งแยกดินแดน อาบูไซยาฟ ซึ่งฝังตัวอยู่ที่ตั้งมั่นบนเกาะบาสิลัน ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอีกหนึ่งในขบวนการก่อการร้ายที่แตกตัวออกมาจากลัทธิวะหะบีห์ มีเป้าหมายเพื่อการแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศฟิลิปปินส์ การลงมือปฏิบัติการในอดีตเคยเป็นกลุ่มที่ลงมือระเบิดโบสถ์คริสต์ โจมตีขบวนรถไฟ ฆ่าตัดหัวเสียบประจาน มีความสามารถในการใช้ระเบิดทีเอ็นที โดยเฉพาะการเตรียมระเบิดขบวนรถไฟของผู้นำประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของฟิลิปปินส์ตรวจสอบพบระเบิดทีเอ็นที ๘๐ ปอนด์ ได้ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม นอกจากนี้กลุ่มอาบูไซยาฟยังมีส่วนสำคัญต่อการสร้างความวุ่นวายในการเลือกตั้งของประเทศตลอดมา


กลุ่มก่อการร้าย เอ็มเอ็มพี ซึ่งรวมตัวกันอยู่ในประเทศมาเลเซีย เป็นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีสถานทูตหลายแห่งในประเทศมาเลเซีย อาทิ สถานทูตออสเตรเลีย และสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ โดยเตรียมการจี้สายการบินของประเทศอังกฤษ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอารเบีย รวมถึงการก่อความวุ่นวายต่างๆ และการส่งจดหมายเข้าข่มขู่สถานทูตไทยและญี่ปุ่น หากทางการของทั้งสองประเทศไม่ยอมถอนทหารออกจากอิรัก และเป็นกลุ่มที่เข้าไปก่อเหตุฆ่าผู้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างโหดเหี้ยม เมื่อครั้งเข้าระเบิดอาคารสำนักงานความมั่นคง ในกรุงริยาด ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบ ๒๐๐ คน

คัดจาก INN เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2547


อ้างอิง : วิทยาลัยวันศุกร์. 2547. แฉขบวนการลับฆ่าตัดหัวโหมไฟใต้.?.!!!. [Online]. Available. URL : http://www.fridaycollege.org/index.php?.
-------------

ถ้าข้อมูลผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะครับ ไปcopy มา
**เครดิตจากนิตยสาร FHM ฉบับเดือน ธันวาคม 2550

เห็นว่าน่าสนใจดีเลยนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
1.CIA
สัญชาติ...USA
ชื่อเต็ม...Central  Intelligence Agency
สุด ยอดองค์กรโคตรกร่างลูกรักของประธานาธิบดีอเมริกาทุกสมัย มักจะเข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องยุ่งๆระดับโลกแต่ไหนแต่ไร CIA คือหน่วยข่าวกรองและสืบราชการลับของสหรัฐ
กำเนิด...อเมริกาเริ่มทำงาน ข่าวกรองมาตั่งแต่สมัย จอร์จ  วอชิงตัน แต่ช่วงนั้นข้อมูลยังกระจัดกระจาย พอถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 การข่าวเริ่มซ้ำซ้อนและขัดกันเอง จุดแตกหักคือวันที่ญี่ปุ่นบุกถล่มอ่าวเพิร์ลในปี 1941 ทัพเรืออเมริกันไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย  ทัพบกและทัพเรือจึงจับมือกันตั้งหน่วยงานชื่อ JANIS พัฒนาจนเป็นคำสั่งก่อตั้ง CIA เมื่อ 26  กรกฎาคม  1947
วีรกรรม...นอกจาก ทำงานข่าวกรองทางทหาร และข้อมูลลับต่างประเทศที่ส่งผลต่อความมั่นคงสหรัฐอเมริกาแล้ว CIA ยังต้องดีลงานกับนานาชาติเรื่องการทหาร ยาเสพติด มาเฟีย  การก่อร้ายและสงครามแถมยังชอบไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่นอยู่บ่อยๆด้วย เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในโลก  แต่ยิ่งทันสมัยเท่าไหร่ก็ยิ่งลดประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ลงไปด้วย
ปัญหา... ช่วงหลังๆประธานาธิบดีบุชได้รวมศูนย์หน่วยข่าวกรองเข้าด้วยกัน CIA ที่เคยกร่างก็กลายเป็นแค่เฟืองตัวเล็กๆ ไดเรกเตอร์คนปัจจุบันเป็นนักการเมือง ก็ขนคนสนิทเข้ามานั่งเก้าอี้สำคัญหลายตำแหน่ง ซึ่งอดีตลูกรักจะมีอนาคตยังไงโปรดติดตามด้วยใจระทึก
ปริศนาคุกลับ CIA...ลือกันหนาหูว่า CIA เที่ยวไปแอบตั้งคุกลับขังผู้ก่อการร้ายไว้หลายประเทศ ประเทศไทยเองก็เพ่งลือกันไปเมื่อปีก่อน เดากันว่าน่าจะมีคุกอยู่ในสถานีวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America) อ.บ้านดุง จ.อุบลราชธานี แต่ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาโฆษก CIA ก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า “แค่ข่าวลือ”

Homer Simpsons:
2.AREA 51
สัญชาติ.......USA
Area 51 เขตหวงห้ามของกองทัพอากาศอเมริกา ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลทรายใน รัฐเนวาด้า แถบทะเลสาบกรูมและปาปูส  นี่คือสถานที่ที่หนังไซไฟอ้างอยู่บ่อยๆ  เชื่อกันว่าเป็นห้องทดลองลับสุดยอดเกี่ยวกับ UFO และมนุษย์ต่างดาว
พิกัด........อยู่ทางเหนือของลาสเวกัส ห่างไปประมาณ 95 ไมล์บนทางหลวงสาย 375 รัฐเนวาด้า ชื่อAera 51เรียกตามพิกัดในแผนที่
วัตถุ ประสงค์........รัฐบาลอเมริกันพยายามบอกคนทั้งโลกว่า Area 51 ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับ UFO หรือมนุษย์ต่างดาวเลย แต่เป็นเพียงศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานให้กองทัพเท่านั้นแต่ก็ขัดกับ เรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพราะมักจะมีคนเห็นวัตถุประหลาดลอยเหนือ Area 51 อยู่บ่อยๆ
เชื่อกันว่า........Area 51 คือหนึ่งในโครงการ “Majestic 12” จ๊อบแรกของพวกเขาคือการผ่าศพมนุษย์ต่างดาว และศึกษาเทคโนโลยีจานบินที่ตกในเมืองรูสเวลล์
ว่ากันว่า........- ใต้ทะเลสาบปาปูสเป็นห้องผ่าพิสูจน์มนุษย์ต่างดาว ทั้งที่จับได้ตัวเป็นๆและเป็นศพ
              - ที่นี่มีศูนย์วิจัยอาวุธยุคใหม่ที่ไม่ใช้กระสุน แต่ใช้พลังงาน เช่น ปืนเลเซอร์
               - มีการศึกษาการเดินทางข้ามมิติเวลาหรือไทม์แมชชีน
- เก่งกาจขนาดสภาพอากาศในพื้นที่แถบนั้นได้
- อดีตเจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกมาแฉว่าเคยเห็น “สิ่งมีชีวิต”สูง 3-4 ฟุต หนัก 35-50  ปอนด์ ผิวสีเทาและหัวโตมากๆ

Homer Simpsons:
3.KGB
สัญชาติ......USSR
ชื่อเต็ม.......Komitet  Gosudarstvennoi  Bezopasnosti
ออกเสียง........KGB = เคเกะเบ (สำเนียงรัสเซีย)
ชื่ออังกฤษ........State  Security Committee
คณะ กรรมการความมั่นคงแห่งสหภาพโซเวียต  ถ้าจะเทียบกับ CIA ก็ถือว่าข่ายงานกว้างกว่าเยอะ  เพราะกินรวมทั้งในและนอกโซเวียต  แถมวิธีการเข้าขั้นโหดเลือดเดือด  ล่าสุดเมือกลางปีมีคดีอดีตสายลับรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก ถูกสังหารด้วยยาพิษซึ่งเกี่ยวข้องกับ KGB โดยตรง
กำเนิด........ช่วงก่อนมหาปฏิวัติ ตุลาคม 1917 ยังเป็นแค่ผ่ายความมั่นคงพรรคบอลเซวิก
20 ธันวาคม 1917  จึงได้ตั้งเป็น VChK หรือ เชก้า หลังจากนั้นก้ปรับองค์กรหลายรอบ เพิ่งจะมาเป็น KGB เมื่อปี 1954
หน้าที่ ........รับผิดชอบงานข่าวกรองทั้งในและนอกประเทศ  ป้องกันอาชญากรรม   คุมตำรวจทั่วโซเวียต  กำจัดกลุ่มต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ทุกรูปแบบ  บริหารค่ายกักกันนักโทษ  สืบราชการลับ  แถมยังแอบส่งสายลับก่อวินาศกรรมไปทั่ว
ความยิ่งใหญ่........อดีตผู้ใหญ่ ของ KGB ได้เป็นประธานาธิบดีถึง 2 คน ได้แก่ ยูริ อันโดรปอฟ อดีตหัวหน้า KGB ช่วงปี 1967-1982 ส่วนอีกคนก็คือ วลาดีมีร์  ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบัน  ปูตินเป็น KGB เมื่อสมัยหนุ่มๆเมื่อเปลี่ยนชื่อเป็น FSB ก็ได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยพระราชวังเครมลิน  ก่อนจะเป็นทายาททางการเมืองของ บอริส เยลต์ซิน ในที่สุด
อาถรรพ์ ........แม้ตำแหน่งประธาน KGB จะเปี่ยมอำนาจแต่ในอีกด้าน คนที่กินตำแหน่งนี้ไม่ค่อยจะไดแก่ตายในสภาพดีๆไม่ว่าจะเป็น  เมนชินสกี้ ยาโกด้า,เยซอฟ  เบเรีย หรือเมอร์คูลอฟ  อบาร์คูมอฟ  จนเมื่อหลังการตายของ  สตาลินอาถรรพ์จึงค่อยจางลง
จุดจบ.........KGB ถูกคำสั่งยุบไปเมื่อปี 1991 เพราะหัวหน้าดันไปร่วมก่อกบฏรัฐบาล กอร์บาชอฟ แต่ไม่สำเร็จ โดยหน่วยที่ขึ้นมาแทนคือ Federalnaya  Sluzhba  Bezopasnosti (FSB)
จุด ไม่จบ.........2-3 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกจับตาว่า ปูตินจะฟื้นชีพ KGB ขึ้นมาอีกหรือไม่เพราะเขาสั่งให้โอน FPS กับ FAPSI กลับไปสังกัด เฟสเบ อีกรอบ จับจ้องอย่ากระพริบตาเชียว

4.MAJESTIC 12
สัญชาติ.......USA
ชื่อเต็ม.........Majority  Agency  Joint  Intelligence  Control
ชื่ออาจไม่ค่อยคุ้นหู  แต่ถ้าไปถามแฟนเกมส์เอเลี่ยน  คอหนังไซไฟ หรือคนวงการ UFO รับรองว่าได้โม้กันจนเช้า
กำเนิด .........ช่วงทศวรรษ 1940 ประชาชนทั่วโลกเห็นข่าว UFO ไม่เว้นแต่ละวัน ที่หนักสุดคือข่าวสะท้านโลก จานบินตกที่เมืองรูสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก เมื่อเดือน กรกฎาคม 1947 มีภาพการผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวหลุดมาตามสื่อต่างๆ ประธานาธิบดี แฮรี่ ทรูแมน จึงตั้งหน่วยงานลับขึ้นเมื่อ 24 กันยายน 1947
วัตถุประสงค์.........สืบหาข้อเท็จจริงเรื่อง UFO จากทั้งทางกองทัพ หน่วงสืบราชการลับ สื่อมวลชน ไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาด
หน้าที่ ...........รับผิดชอบทุกเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เรียกชื่อเป็นรหัส MJ1-MJ12 ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆของรัฐเช่น หน่วยป้องกันราชอาณาจักร,CIA,FBIฯลฯ
วีรกรรม .........นอกจากศึกษาเรื่อง UFO แล้วภารกิจสำคัญอีกอย่างคือคอยปิดเรื่อง UFO และมนุษย์ต่างดาวไม่ให้เล็ดลอดออกมา ว่ากันว่าทันทีที่มีข่าวเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ MJ12 ก็จะรุดไปยังที่เกิดเหตุเพื่อสอบสวนพยานถ้าพยาน “รู้” มากไปก็จะเจรจาให้สงบปากด้วยวิธีต่างๆ เช่น ข่มขู่หรือดีหน่อยก็อัดเงินก้อนโต  หรือถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆพยานเหล่านี้ก็จะสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงไม่แปลกที่ วิลเลี่ยม  บราเซล ผู้พบชิ้นส่วนจานบินที่ รูสเวลล์ และเคยให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่นจะเปลี่ยนคำให้การจากหน้ามือเป็น หลังมือในภายหลัง แต่ถ้าเรื่องมันบานปลายจริงๆเช่น พยานดันกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนขึ้นมา  แบบนี้จะปิดปากก็คงทำไม่ได้  รัฐบาลก็จะออกมาแถลงข่าวเพื่อคลายความตื่นตระหนกของประชาชน โดยให้เหตุผลว่า “พยานเพ้อเจ้อ ไร้สาระ”

5.MOSSAD
สัญชาติ......ISRAEL
ชื่อเต็ม........The Institute for Intelligence and Special Operations
หน่วย สืบราชการลับระดับเบิ้มของอิสราเอล  รับผิดชอบทั้งด้านการข่าว ต่อต้านการก่อการร้าย  ทำงานคล้ายทหารรายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี  ว่ากันว่านี่คือ “สุดยอดหน่วยปฏิบัติการลับที่ดีที่สุดของโลกในยุคนี้” เพราะรวมเอาข้อดีของ MI6 และ KGB เข้าด้วยกัน สายลับขึ้นชื่อทั้งฝีมือและความทรหด ถ้าคุณก่อการร้ายต่อให้อยู่ใต้โลกก็ต้องโดนขุดมาจัดการ
กำเนิด.......... ก่อตั้งเมื่อ 13 ธันวาคม 1949 เพื่อประสานระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กระจัดกระจาย  ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักนายกฯในเดือนมีนาคม 1951
โครงสร้าง ..........ศูนย์บัญชาการตั้งอยู่ที่เมืองเทลอาวีฟ  มีเจ้าหน้าที่ 1,200-2,000 คนทั่วโลกแม้ MASSAD  จะทำงานประสานกับหน่วยงานความมั่งคงของรัฐบาล  แต่พวกเขาก็มีสถานะเป็นพลเรือนไม่ได้ใช้กำลังทางทหารของทางรัฐบาลเลย สาบลับของ MASSAD เรียกว่า “คัตลาส” ทำงานคล้าย CIA ตัวเลขระบุว่ามี คัตลาส 30-40 คนฝังตัวอยู่ทั่วยุโรปและตะวันออกกลาง
อาวุธประจำกายสาบลับ ..ปืนเบอร์เร็ตต้า(ให้แต่ปืนกระสุนซื้อเอง)แต่ยังไงก็ตามสายลับต้องฝึกใช้ อาวุธให้ได้ทุกชนิด เผื่อเข้าตาจนจะได้หยิบฉวยอาวุธคู่ต่อสู้มาใช้
ใบ สั่งเด็ดหัว.........เป่าได้เฉพาะคนในรายชื่อเท่านั้น  ตามล่าให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม  ดดยมีกฎเหล็กคือ  ต้องกันคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ให้โดนลูกหลงเด็ดขาด
งานชิ้นโบว์แดง..- 11 พฤษภาคม 1960 ตามจับตัว อดอล์ฟ อิชแมนน์ อาชญากรสงครามนาซีที่กบดานอยู่ใน อาร์เจนตินา ก่อนจะส่งตัวไป “เก็บ” ในอิสราเอล
                   - ปี 1965 ลอบสังหาร เฮอร์เบิร์ตส คูเกอร์ส อาชญากรสงครามนาซี ที่หลบอยู่ในบราซิล
                   - ลอบสังหารสมาชิก Black September ปฏิบัติการมิวนิก ในโอลิมปิก 1972 10จาก 11 ในรายชื่อถูกแพ็คลงหลุมส่วนอีกคนที่รอดก็มาม่องทีหลัง
                   - ได้ข้อมูลลับสุดยอด  เกี่ยวกับการระดมนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศสมาผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในอิรัก MOSSAD เข้าทำลายโครงการนี้ได้ถึง 60% เมื่อวันที่ 5 เมษายน 1979

6.MI6
สัญชาติ......UNITED KINGDOM
ชื่อจริง........Secret Intelligence Service (SIS)
ชื่อเต็ม........Military Intelligence,Sectipn 6
หน่วย สืบราชการลับที่ดีที่สุดหน่วยหนึ่งของโลก  โดดเด่นทั้งการสรรหา วิธีฝึกและศักยภาพของเจ้าหน้าที่  ถ้าคุณรู้จัก เจมส์ บอนด์ 007 นั่นล่ะ..เจ้าหน้าที่ของ MI6
กำเนิด.........ก่อตั้งเมื่อปี 1909 รับสืบราชการลับทั้งในและนอกอังกฤษ  เน้นจับตาการเคลื่นไหวของเยอรมนี มีเรือรบ และอาวุธหนักเป็นของตัวเอง  ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น MI6 ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ปัจจุบันมีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ Vauxhall Cross ในลอนดอน
หน้าที่.........สืบราชการลับเพื่อความมั่นคงของสหราช อาณาจักร  ทั้งวิธีบนดินและใต้ดิน รวมถึงการจารกรรมข้อมูลจากต่างประเทศเพื่อส่งกลับแผ่นดินแม่เหมือนในหนัง เจมส์ บอนด์นั่นแหละ
นอกจาก MI6 แล้วหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษยังมีอีกเพียบ ตั้งแต่ MI1-MI19 แยกไปตามความชำนาญเฉพาะด้าน
เผย ความลับ........15 พฤศจิกายน 2006 เป็นครั้งแรกที่ MI6 เปิดให้วิทยุ BBC สัมภาษณ์ 2 สายลับ โดยปฏิเสธว่าไม่ได้มีใบสั่งฆ่า เหมือนที่เข้าใจกัน เพราะสิ่งที่ MI6 ทำล้วนอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่ยอมรับว่า Q หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องมือล้ำสมัยหน้ะมีตัวตนจริง ละหัวหน้า MI6  ใช้รหัสลับว่า C จริง พวกเขาบอกว่าชีวิตสายลับมันช่างเย้ายวน ได้ท่องไปในโลกกว้างได้ฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง
ไม่ต้องบอกว่านี่มันหนังโฆษณาฟังหูไว้หูหล้ะกัน

7.KCIA
สัญชาติ....KOREA
ชื่อเต็ม.....Korean Central Intelligence Agency
ปัจจุบันใช้ชื่อว่า......NIS(National Intelligence Service)
หน่วย สืบราชการลับในแผ่นดินเกิดของแดจังกึม เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อสามารถเจรจาให้ตาลีบันยอมปล่อย 17 ตัวประกันชาวเกาหลีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
กำเนิดและภารกิจ......ก่อ ตั้งเมื่อ 13 มิถุนายน 1961 โดย “คิม จอง พิล” อดีตนายกฯหน้าที่หลักคือสืบราชการลับทั้งในและนอกเกาหลีใต้เพื่อป้องกันการ ก่อการร้าย อาชญากรรม งานด้านความมั่นคง รวมทั้งจับตาความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือเป็นพิเศษ ปัจจุบันมี “คิม แมน บ็อก” คุณปู่วัย 61 เป็นหัวหน้า
งานชิ้นโบว์แดง.......22 สิงหาคม 2007 ปู่คิมนำทีม KCIA เป็นทูตเจรจากับตาลีบันเพื่อให้ปล่อยตัวมิชชันนารีชาวเกาหลีที่ยังหายใจอยู่ อีก 17 คน (จับไป 23 แต่โดนเป่าทิ้งไปบ้าง ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้บ้าง) ข่าวบอกว่าปู่คิมใส่เสื้อเกราะตลอดเวลาที่เจรจา และก็สำเร็จ 2 กันยายน 2007 เชลยกลับมาตุภูมิครบทั้ง 17 คน

สุดท้ายรักชาติ ของไทยเราก็เจ๋งนะ

8.อรินทราช 26
หน่วย ปฏิบัติการพิเศษที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของไทยสังกัดตำรวจนครบาล รับผิดชอบด้านอาชญากรรมร้ายแรง ชิงตัวประกัน และต่อต้านการก่อการร้าย ทำผลงานมากมายจนชื่อคุ้นหูคนไทยสุดๆ
กำเนิด..สถานการณ์ก่อการร้ายทั่วโลก นับวันยิ่งเริ่มถี่ขึ้น  กลุ่มก่อการร้ายก็ผุดขึ้นยัง:-)กเห็ด ประเทศไทยเองก็เคยโดนเข้าจังๆเมื่อ 28-30 ธันวาคม 2515 กลุ่มผู้ก่อการร้ายปาเรสไตน์บุกจับเจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศ ไทย  กว่าจะแก้ไขได้ก็ใช้ทั้งเวลาและกำลังคนจำนวนมาก  กรมตำรวจสมัยนั้นจึงตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายสากลขึ้น อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2526
ภารกิจ..- ต่อต้านการก่อการร้ายสากลและก่อการร้านในเมืองทุกรูปแบบ
- ปราบอาชญากรรมร้ายแรงทุกประเภท
- อารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
- ฝึกอบรมเทคนิคยุทธวิธีให้หน่วยงานอื่น
เตรียม พร้อมแค่ไหน..พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชม.สามารถเรียกรวมกำลัง ชี้แจงภารกิจเบื้องต้น เตรียมยุทโธปกรณ์ และพร้อมเคลื่อนกำลังภายใน 30นาที หลังได้รับคำสั่ง (ด่วนพอๆกับสั่ง พิซซ่า)
ดีกรีความเด็ดขาด..เป็นไปตาม สถานการณ์ และวิจารณญาณของผู้บังคับบัญชา ดูจากภัยคุกคามที่กำลังเผชิญหน้าเป็นหลัก  ถ้าจำเป็นต้องยิงโต้ตอบเพื่อป้องกันชีวิตตัวเองและผู้อื่นก็ต้องทำ แต่จะคำนึงถึงความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ ตัวประกัน และประชาชนรอบข้าง และเมื่อตัดสินใจสั่งการลงไปแล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นสิ่งที่สังคม สื่อมวลชน และกระบวนการยุตืธรรมยอมรับได้
งานชิ้นโบว์แดง..24-25 มกราคม 2543 กะเหรี่ยง “ก๊อดอาร์มี่” บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี จับคนไข้หมอและพยาบาลเป็นตัวประกัน  ต่อรองให้รัฐบาลทหารพม่าเลิกปราบปรามชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า หน่วยอรินทราช 26,หน่วยนเรศวร 261,และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทบ.เข้ากู้สถานการณ์ ผลคือ ตัวประกันรอด ส่วนผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/12/X6086795/X6086795.html
-------------

วิเคราะห์'3ปม'กังขาจับ'ฮิซบอลเลาะห์'ข่าวป่วนไทยโยงการเมืองระหว่างประเทศ 
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555
 
 "ข่าวที่ว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์เข้ามาดำเนินกิจกรรมในไทยถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะตามประวัติที่ผ่านมากลุ่มเฮซบอลเลาะห์ไม่เคยเข้ามาทำอะไรในไทย" เป็นข้อสังเกตเชิงตั้งคำถามอย่างน่าสนใจจาก นายปีเตอร์ เบอร์เกน นักวิเคราะห์ด้านก่อการร้าย ที่เผยแพร่อยู่ในสำนักข่าวต่างประเทศ แน่นอนว่าประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของขบวนการก่อการร้ายสากล แต่จากข้อมูลของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) ก็ยอมรับว่า การก่อการร้ายในประเทศอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เนื่องจากการก่อการร้ายในปัจจุบันมีลักษณะไร้พรมแดน มีการกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ และมีอำนาจตัดสินใจปฏิบัติการอย่างอิสระมากขึ้น

ฉะนั้นการที่ไทยเป็นประเทศเปิดเสรี หนำซ้ำยังมีปัจจัยเกื้อกูลต่างๆ เช่น เป็นศูนย์กลางการคมนาคมแต่กลับมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ย่อหย่อน จึงทำให้ผู้ก่อการร้ายสากลสามารถใช้ไทยเป็นเส้นทางผ่าน แหล่งพักพิงชั่วคราว หรือแหล่งจัดหาสิ่งสนับสนุนการปฏิบัติการได้

โดยเฉพาะการจัดหาเอกสารปลอม อย่างเช่น "พาสปอร์ต" ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยเป็นแหล่งใหญ่ระดับศูนย์กลางของโลกเลยทีเดียว

รายงานของ สขช.เองในระยะหลังก็เคยแจ้งเตือนกลุ่มผู้ก่อการร้ายสากลซึ่งเป็นที่จับตาของประเทศต่างๆ ว่ามีโอกาสเข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทยหรือใช้ไทยเป็นแหล่งพักพิง เช่น กลุ่มอัลไกดา กลุ่มเจมาห์อิสลามิยาห์ หรือเจไอ และรวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จากตะวันออกกลางด้วย

กลุ่มเฮซบอลเลาะห์เป็นกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะต์ในเลบานอน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1982 ซึ่งเป็นปีที่อิสราเอลบุกเลบานอน เป้าหมายของฮิซบอลเลาะห์คือขับไล่กองทัพอิสราเอลที่ยึดครองเลบานอน โดยฮิซบอลเลาะห์มีกองทัพของตนเอง ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากซีเรียและอิหร่าน สุดท้ายสามารถขับไล่กองทัพอิสราเอลออกจากเลบานอนได้สำเร็จ ทำให้กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย

แม้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยเหมือน อัลไกดา หรือเจไอ แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยบางส่วนเชื่อว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มนี้มาแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อปี 2537 ที่มีคนขับรถบรรทุกน้ำซึ่งมีระเบิดซีโฟร์ขนาดมหึมาซุกซ่อนอยู่ภายในเพื่อพุ่งชนอาคารสถานทูตอิสราเอล ทว่ารถบรรทุกเกิดเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านชิดลมเสียก่อน คนขับจึงจอดรถทิ้งไว้ที่หน้า สน.ลุมพินี แล้วหลบหนีไป

ไม่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกี่ยวพันกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จริงหรือไม่ แต่ชื่อของกลุ่มนี้ก็เงียบหายไปจากประเทศไทยเนิ่นนาน กระทั่งอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) รายหนึ่งที่เคยดำรงตำแหน่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่าไม่เคยได้รับแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังกลุ่มเฮซบอลเลาะห์เป็นพิเศษ

การปรากฏตัวเป็นข่าวอีกครั้งของสมาชิกกลุ่มนี้ จึงมีประเด็นวิเคราะห์ได้หลากหลายมุม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ร้อนฉ่าอยู่ในปัจจุบัน

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า พิจารณาตามเหตุผลแล้ว ข่าวที่ว่าสมาชิกกลุ่มเฮซบอลเลาะห์เตรียมก่อวินาศกรรมในประเทศไทยไม่น่าจะเป็นจริง โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1.มีการให้ข่าวว่าผู้ต้องสงสัยเดินทางไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศมาเลเซีย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เป็นมุสลิมนิกายชีอะต์ แต่มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และมาเลเซียเป็นนิกายสุหนี่ โดยเฉพาะมาเลเซียจะระมัดระวังมากกับการอนุญาตให้มุสลิมนิกายชีอะต์เข้าประเทศ

2.โดยปกติกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะไม่ปฏิบัติการความรุนแรงต่อนักท่องเที่ยวหรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำให้กลุ่มนี้มีอายุยืนยาวมาได้หลายสิบปี ทั้งยังพัฒนาเป็นพรรคการเมืองในเลบานอนด้วย ฉะนั้นเป้าหมายของเฮซบอลเลาะห์คือโจมตีผลประโยชน์ของประเทศที่เป็นคู่สงครามเท่านั้น นั่นคือ สหรัฐอเมริกากับอิสราเอล ฉะนั้นหากจะบอกว่าผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เตรียมวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ จึงไม่น่าเป็นไปได้

3.การก่อวินาศกรรม โดยเฉพาะโจมตีด้วยระเบิดนั้น ต้องมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 คน หากกลุ่มเฮซบอลเลาะห์หรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นใดต้องการเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยจริง ก็จะมีการส่งคนเข้ามาหลายชุด เช่น ชุดแรกเข้ามาสืบสภาพพื้นที่ จัดหาที่พัก วัตถุระเบิด และอื่นๆ เมื่อพร้อมแล้วจึงส่งชุดปฏิบัติการเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมือระเบิดพลีชีพ ฉะนั้นการจับกุมจะต้องทำกันอย่างเงียบเชียบ เพื่อกวาดจับให้ได้ทั้งขบวนการ ไม่ใช่จับแล้วตีข่าวใหญ่โตแบบนี้

"ไม่ใช่ผมไม่เชื่อว่ามีการจับกุมสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับอาจจะเป็นสมาชิกกลุ่มนี้จริง แต่อาจไม่ใช่สมาชิกระดับสูง และอาจไม่ใช่ผู้ที่เข้ามาเตรียมปฏิบัติการก่อการร้าย เพราะพอจับได้ปุ๊บ ก็มีการแจ้งเตือนอย่างใหญ่โตในเว็บไซต์ของสถานทูตสหรัฐทันที ถ้าเป็นข่าวใหญ่แบบนี้ สมาชิกที่เหลือก็หลบหนีหมด แล้วจะจับเครือข่ายได้อย่างไร"

"จากข้อมูลการข่าวที่ผมได้รับมา มีการแจ้งข้อมูลจากทางอิสราเอลและชี้ให้จับบุคคลต้องสงสัยรายนี้จริง แต่คำถามคือเป็นบุคคลที่เตรียมเข้ามาก่อเหตุในกรุงเทพฯ จริงหรือไม่ หรือว่าแค่เข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยนั้นเป็นที่พักพิงของกลุ่มก่อการร้ายสากลหลายกลุ่ม แต่ก็ไม่เห็นมีการจับกุม ซึ่งฝ่ายความมั่นคงไทยก็ทราบดี ที่สำคัญการจับกุมก็ไม่เห็นว่าสามารถยึดของกลางเป็นวัตถุระเบิดหรือยุทโธปกรณ์อื่นๆ ที่อาจเชื่อมโยงได้ว่ามีการเตรียมการก่อวินาศกรรม"

พล.ท.นันทเดช กล่าวว่า จากข้อสังเกตทั้ง 3 ข้อ ทำให้มองว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐกำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่ เพราะเป็นต้นตอการเผยแพร่ข่าวที่ไม่ควรเผยแพร่ในปฏิบัติการลักษณะเช่นนี้ ซึ่งสหรัฐก็ทราบดี

"ผมมองไปถึงความพยายามแผ่ขยายอิทธิพลในประเทศอาเซียนซึ่งกำลังรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะที่พม่าก็กำลังเปิดประเทศโดยมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและทรัพยากรมหาศาลรออยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสหรัฐต้องการเข้ามามีบทบาทเพื่อคานอำนาจกับจีน อินเดีย และประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ แต่สหรัฐใช้ประเด็นทางการความมั่นคงเป็นเงื่อนไขนำในการก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอาเซียนซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์"

"นอกจากนั้นยังต้องจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน โดยอิสราเอลก็คือพันธมิตรสำคัญของสหรัฐในตะวันออกกลาง ขณะที่อิหร่านเป็นชาติที่ให้การสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐหรืออิสราเอลชี้ให้จับคนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เพื่อกดดันอิหร่านที่กำลังมีปัญหากันอยู่" พล.ท.นันทเดช ตั้งข้อสังเกตทิ้งท้าย
--------------
 กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ประกาศพร้อมถล่มอิสราเอล  

ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เผยว่า องค์การเคลื่อนไหวชาวเลบานอนนิกายชีอะห์ของเขาเตรียมพร้อมแล้วที่จะเปิดสงครามถล่มอิสราเอล
     
!เหตุที่ฮัซซัน นัชซอลลอลลอฮ์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ออกมาประกาศทำสงคราม ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์กับเหล่าผู้สนับสนุนในงานศพผู้บัญชาการระดับสูงของกลุ่ม เนื่องมาจากจากการที่อิสราเอลถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบสังหารอัยมัด โมฮานิยะห์ ผู้บัญชาการะดับสูงของฮิซบอลเลาะห์ ในเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย

!นัชซอลลอลลอฮ์ เผยว่า จากเหตุลอบสังหารดังกล่าว จากการเลือกเวลา สถานที่และวิธีการ หากอิสราเอลต้องการให้เปิดสงครามในลักษณะเช่นนี้ เขาก็ขอประกาศให้ชาวโลกได้ยิน โดยทั่วกัน มาเปิดศึกทำสงครามกันเถอะ นอกจากนี้ยังบอกต่อว่า นักรบฮิซบอลเลาะห์เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับสงครามครั้งต่อไป หลังสิ้นสุดสงครามกับอิสราเอลในปี 2549 พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อปกป้องประเทศและประชาชนของเขา

!ขณะที่ประเทศคู่กรณี อย่างอิสราเอล ก็มีคำสั่งให้กองทัพและเหล่าคณะทูตเตรียมพร้อมรักษาความปลอดภัยขั้นสูงในทันท

----------------

สื่อยิวอ้าง “ฮิซบอลเลาะห์” หวังโจมตีคนอิสราเอลใน “กรุงเทพฯ” แก้แค้นก่อน 12 ก.พ.
.: ASTV
       หน่วยข่าวกรองไทยกำลังตามล่าตัวกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งมีแผนก่อเหตุร้ายเล่นงานชาวอิราเอล หรือชาวยิวในกรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ของอิสราเอล รายงานสถานการณ์ภัยคุกคามการก่อการร้ายในไทย วันนี้ (15)

        สำนักต่อต้านการก่อการร้ายอิสราเอล ได้ประกาศเตือนพลเรือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และแนะนำชาวอิสราเอลในกรุงเทพฯ ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนอิสราเอล

        แหล่งข่าวด้านกลาโหมอิสราเอล เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ว่า ทางการไทยกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อยับยั้งการก่อเหตุร้าย โดยคาดว่า อาจเกิดขึ้นก่อนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบการลอบสังหาร อิหมัด มุกห์นิเยห์ (Imad Mughniyeh) แกนนำระดับสูง และหัวหน้าชุดปฏิบัติการของฮิซบอลเลาะห์ ทั้งนี้ มุกห์นิเยห์เสียชีวิตจากเหตุคาร์บอมบ์ในซีเรีย เมื่อปี 2008 หลังตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารของ “มอสสาด” (Mossad) หน่วยสืบราชการลับของอิราเอล มานานหลายปี

        แหล่งข่าวด้านกลาโหมไทย ให้ข้อมูลกับฮาอาเรตซ์ ว่า แม้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน แต่การเตือนภัยก่อการร้ายยังคงมีผลอยู่ นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้นี้ยังเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลในประเทศไทยปฏิบัติตามคำสั่งของทางการ และหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงนี้

        ฮาอาเรตซ์ ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ระหว่างการสอบปากคำ อิดริส ฮุสเซน สมาชิกฮิซบอลเลาะห์วัย 48 ปี ให้การสารภาพว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายวางแผนโจมตีเป้าหมายชาวอิสราเอล ซึ่งหมายรวมถึงสถานที่ที่ชาวอิราเอลอาศัยอยู่

        ทั้งนี้ อิสราเอลได้แจ้งเตือนทางการไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ว่า สมาชิกฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อก่อเหตุร้าย ต่อมา วันที่ 8 มกราคม อิสราเอลได้รับข่าวกรองชี้ว่า การก่อเหตุจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ฮาอาเรตซ์ รายงาน

        ทางการสหรัฐฯ ก็แจ้งรัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาส ว่า ได้รับข้อมูลจากอิสราเอลเกี่ยวกับแผนก่อการร้าย ซึ่งหวังเล่นงานชาวตะวันตกและชาวอเมริกันในกรุงเทพฯ

        กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ที่เข้ามาในประเทศไทย มีสัญชาติเลบานอน และยังถือหนังสือเดินทางของสวีเดน ทุกคนล้วนเคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

        ข้อมูลจากอิสราเอลนำทางเจ้าหน้าที่ไทยไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนข้าวสาร ในวันศุกร์ (13) แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เหลือไหวตัวทัน และหนีไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถจับตัว อิดริส ฮุสเซน บุคคลสัญชาติเลบานอน-สวิตเซอร์แลนด์ ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง เดินทางออกจากประเทศไทย
------------------
 วันอาทิตย์ ที่ 15 มกราคม 2555
สื่อยิวชี้ “ฮิซบอลเลาะห์” หวังโจมตีคนอิสราเอลใน “กรุงเทพฯ” แก้แค้นก่อน 12 ก.พ. 
โดย : manager-online , 19:21:11 น. ผู้อ่าน 6

- หน่วยข่าวกรองไทยกำลังตามล่าตัวกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งมีแผนก่อเหตุร้ายเล่นงานชาวอิราเอล หรือชาวยิวในกรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ของอิสราเอล รายงานสถานการณ์ภัยคุกคามการก่อการร้ายในไทย วันนี้ (15)
     
       สำนักต่อต้านการก่อการร้ายอิสราเอลได้ประกาศเตือนพลเรือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และแนะนำชาวอิสราเอลในกรุงเทพฯ ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนอิสราเอล
     
       แหล่งข่าวด้านกลาโหมอิสราเอลเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ว่า ทางการไทยกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อยับยั้งการก่อเหตุร้าย โดยคาดว่าอาจเกิดขึ้นก่อนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบการลอบสังหาร อิหมัด มุกห์นิเยห์ (Imad Mughniyeh) แกนนำระดับสูง และหัวหน้าชุดปฏิบัติการของฮิซบอลเลาะห์ ทั้งนี้ มุกห์นิเยห์เสียชีวิตจากเหตุคาร์บอมบ์ในซีเรีย เมื่อปี 2008 หลังตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารของ “มอสสาด” (Mossad) หน่วยสืบราชการลับของอิราเอล มานานหลายปี
     
       แหล่งข่าวด้านกลาโหมไทยให้ข้อมูลกับฮาอาเรตซ์ ว่า แม้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน แต่การเตือนภัยก่อการร้ายยังคงมีผลอยู่ นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้นี้ยังเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลในประเทศไทยปฏิบัติตามคำสั่งของทางการ และหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงนี้
     
       ฮาอาเรตซ์ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ระหว่างการสอบปากคำ อิดริส ฮุสเซน สมาชิกฮิซบอลเลาะห์วัย 48 ปี ให้การสารภาพว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายวางแผนโจมตีเป้าหมายชาวอิสราเอล ซึ่งหมายรวมถึงสถานที่ที่ชาวอิราเอลอาศัยอยู่
     
       ทั้งนี้ อิสราเอลได้แจ้งเตือนทางการไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ว่า สมาชิกฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อก่อเหตุร้าย ต่อมา วันที่ 8 มกราคม อิสราเอลได้รับข่าวกรองชี้ว่า การก่อเหตุจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ฮาอาเรตซ์รายงาน
     
       ทางการสหรัฐฯ ก็แจ้งรัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาส ว่า ได้รับข้อมูลจากอิสราเอลเกี่ยวกับแผนก่อการร้าย ซึ่งหวังเล่นงานชาวตะวันตกและชาวอเมริกันในกรุงเทพฯ
     
       กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ที่เข้ามาในประเทศไทย มีสัญชาติเลบานอน และยังถือหนังสือเดินทางของสวีเดน ทุกคนล้วนเคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
     
       ข้อมูลจากอิสราเอลนำทางเจ้าหน้าที่ไทยไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนข้าวสารในวันศุกร์ (13) แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เหลือไหวตัวทัน และหนีไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถจับตัว อิดริส ฮุสเซน บุคคลสัญชาติเลบานอน-สวิตเซอร์แลนด์ ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง เดินทางออกจากประเทศไทย

ที่มา http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrview.aspx?NewsID=9550000006269
 ---------------
พลิกแฟ้มกลุ่มก่อการร้าย“อิซบอลเลาะห์”!!!
   
พลิกแฟ้มกลุ่ม“อิซบอลเลาะห์”!!! รวมพลขับไล่อิสราเอลพ้นเลบานอน-สะสมขีปนาวุธ 5 หมื่นลูก ก่อนมีข่าวซุกในไทย

          พลันที่มีข่าวสถานทูตสหรัฐออกประกาศเตือนเหตุ “ก่อการร้าย” ในไทย

         ก็มีข่าวออกมาจากทางการไทยว่า โดยเฉพาะจาก “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม ว่า กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวอาจก่อเหตุ “คาร์บอมบ์” ต่อสถานที่สำคัญ อาทิ สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย โบสถ์ชาวอิสราเอล บริษัททัวร์และร้านอาหาร โดยมีเป้าประสงค์เพื่อล้างแค้นพวกอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาชาวอิสราเอลไปสังหารชาวอิหร่านเสียชีวิตจำนวนมาก จึงมีการวางทีมไว้เพื่อทำการแก้แค้น

          พร้อมกับเผยออกมาว่ากลุ่มก่อการร้ายที่ว่า คือ.....

          “กลุ่มฮิซบอลเลาะห์”!!!

          นั่นทำให้ชื่อนี้เป็นที่สนใจขึ้นมาทันที.....

          สำหรับ ฮิซบุลลอฮ์ หรือที่เมืองไทยเรียกว่า “ฮิซบอลเลาะห์” หรือ “ฮิซบอลลาห์” เป็นองค์กรและพรรคการเมืองของชาวมุสลิมชีอะฮ์ในเลบานอน ซึ่งมีกองทัพของตนเอง ก่อตั้งในปี ค.ศ.1982 อันเป็นปีที่อิสราเอลบุกรุกเลบานอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อขับไล่กองทัพอิสราเอลที่ยึดครองเลบานอน จนสามารถต่อสู้และขับไล่ทัพอิสราเอลออกจากเลบานอนได้ในปี ค.ศ.2000 เลขาธิการใหญ่ของพรรคฮิซบุลลอฮ์คือ ซัยยิด ฮะซัน นัศรุลลอหฺ

          การก่อตั้งฮิซบุลลอฮ์ได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จในการปฏิวัติอิสลามของ “อะยะตุลลอหฺ โคไมนี” ผู้นำอิหร่านในสมัยนั้น โดยวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อปกป้องอนาธิปไตยของมุสลิม และปกป้องมาตุภูมิเลบานอนให้พ้นจากการรุกรานของชาวอิสราเอล

          ฮิซบุลลอฮ์ก่อตั้งโดยกลุ่มอุละมาอ์ในพรรคอัลอะมัล ที่ได้แยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองต่างหาก พรรคอะมัลเป็นการเมืองของมุสลิมชีอะฮ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซีเรีย เมื่อพรรคฮิซบุลลอฮ์มีสมาชิกและฐานเสียงมากขึ้น ซีเรียก็ให้การสนับสนุนเทียบเท่ากับพรรคอัลอะมัล


          ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ฮิซบุลลอฮ์เป็นเพียงขบวนการใต้ดิน จนกระทั่งในปี ค.ศ.1985 จึงมีการประกาศสถานภาพของกลุ่มอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน เนื่องจากพรรคฮิซบุลลอฮ์เน้นนโยบายอิสลามที่สนับสนุนความปรองดองระหว่างชาวเลบานอน เคารพสิทธิเสรีภาพของทุกศาสนาและลัทธิ และต่อสู้การรุกรานของอิสราเอล ฮิซบุลลอฮ์จึงเป็นที่ยอมรับของชาวเลบานอน

          ผู้ทีที่มีอิทธิพลต่ออุดมการณ์ของฮิซบุลลอฮ์คือ อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้นำ จนกระทั่งได้เริ่มมีการเลือกตั้งผู้นำในเวลาต่อมา เลขาธิการใหญ่ของพรรคคนแรก คือ เชค ศุบฮีย์ อัฏตุฟัยลีย์ (1989-1991) และ ซัยยิด อับบาส อัลมูสะวีย์ (1991-1992) ที่ถูกอิสราเอลลอบสังหาร

          สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลระบุว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงินและการเมือง รวมทั้งด้านอาวุธและการฝึกฝนจากอิหร่านและซีเรีย ซึ่งทางซีเรียเองก็ยอมรับว่าให้การสนับสนุนฮิซบุลลอฮ์จริงแต่ปฏิเสธเรื่องการส่งอาวุธให้

          พรรคฮิซบุลลอฮ์ได้รับการสนับสนุนจากชาวมุสลิมในเลบานอนเป็นอย่างดี ในเวลาปัจจุบันมีเก้าอี้ในรัฐสภาเลบานอน 23 ที่นั่ง จากทั้งหมด 128 ที่นั่ง ฮิซบุลลอฮ์มีนโยบายสาธารณะหลัก ๆ คือการสร้างโรงพยาบาล สร้างสถานศึกษา และให้บริการด้านสังคมอื่นๆ

          ฮิซบุลลอฮ์ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลอิสราเอล ขึ้น “บัญชีดำ” ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ไม่ต่างจากกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ แม้ว่าฮิซบุลลอฮ์จะมีสถานะอันชอบธรรมถึงขั้นสามารถส่งตัวแทนลงเลือกตั้ง และเข้าร่วมรัฐบาลเลบานอนได้ก็ตาม โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจับตัวประกันชาวอเมริกันหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ก็ตาม เช่นเดียวกับรัฐบาลอิสราเอลที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มกองกำลังดังกล่าวตลอดเวลา


          ผลงานชิ้นสำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์คือ การขับไล่อิสราเอลออกจากพื้นที่ทางตอนใต้ของเลบานอน เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2000 ซึ่งอิสราเอลยึดครองมาตั้งแต่การรุกรานครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1982 และทางสหประชาชาติก็ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นของเลบานอน


          ความบาดหมางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ยังไม่สิ้นสุด เพราะพรรคฮิซบุลลอฮ์ยังต่อสู้เพื่อให้อิสราเอลถอนทัพออกจาก 'ชีบาฟาร์ม' ซึ่งชาวเลบานอนได้เคยยื่นหลักฐานต่อสหประชาชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของเลบานอน ด้วยเหตุนี้ การประทะกันระหว่างกลุ่มฮิซบุลลอฮ์กับกองทัพอิสราเอลจึงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ


          ในปี ค.ศ. 2004 กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้แลกเปลี่ยนนักโทษกับอิสราเอลหลังผ่านพ้นการเจรจาอันยาวนานถึง 3 ปี โดยอิสราเอลได้ปล่อยตัวนักโทษมากกว่า 400 คน และคืนศพของนักรบเลบานอน 59 ศพ เพื่อแลกกับนักธุรกิจชาวอิสราเอลที่ถูกลักพาตัวไป 1 คน และศพของทหารอิสราเอลอีก 3 ศพ

          ล่าสุดชนวนเหตุที่ทำให้สถานการณ์ของทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มร้อนระอุขึ้นอีกครั้งก็คือ การที่กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้จับตัวทหารอิสราเอล 2 คน และสังหารทหารยิวอีก 8 คน เมื่อวันพุธที่ 12 ก.ค. 2006 หลังจากที่อิสราเอลได้จับกุมคณะรัฐมนตรีของปาเลสไตน์ ทำให้อิสราเอลถือเป็นข้ออ้างในการโจมตีเลบานอนเพื่อเป็นการตอบโต้ทันที แม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วอิสราเอลได้เตรียมตัวโจมตีก่อนหน้านั้นก็ตาม
   
          อิสราเอลได้ยกสามเหล่าทัพโจมตีเลบานอน เริ่มต้นด้วยการโจมตีท่าอากาศยานเบรุต และสถานีโทรทัศน์อัลมะนารของฮิซบุลลอฮ์

          ปัจจุบันนี้กองทัพของฮิซบุลลอฮ์มีศักยภาพเหนือกว่ากองทัพของประเทศเลบานอน โดยเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐ ระบุว่า อาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งได้มาจากซีเรีย โดยขณะนี้กลุ่มดังกล่าวมีจรวด และขีปนาวุธกว่า 50,000 ลูก รวมไปถึงขีปนาวุธ ฟาเตะห์-110 ประมาณ 40-50 ลูก ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงเมืองเตล อวิฟ และส่วนอื่นๆ ของอิสราเอล และขีปนาวุธ สคัด-ดี อีก 10 ลูก
          ขณะที่ “นิวยอร์ก ไทม์ส” อ้างว่า การได้มาซึ่งอาวุธจำนวนมากของฮิซบอลเลาะห์ ทำให้เกรงว่า ความขัดแย้งกับอิสราเอลในอนาคตอาจกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค

          นี่คือ “ศักยภาพ” ของ “กลุ่มอิซบอลเลาะห์” ที่ขณะนี้ได้คืบคลานเข้ามาซุกอยู่ในเมืองไทยแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องเร่งจัดการให้เหี้ยน ไม่เช่นนั้นผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้อาจใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการได้!!!

“ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์”





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น