วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

ยักษ์ใหญ่แย่งน้ำมันในเขตทับซ้อนทะเลไทย-เขมร


(ข้อมูล ศึกแย่งชิงน้ำมันเขตทับซ้อนไทย-เขมร)

วันอาทิตย์ ที่ 20 กันยายน 2552
ยักษ์ใหญ่แย่งน้ำมันในเขตทับซ้อนทะเลไทย-เขมร 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 2196 , 01:57:47 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เปิดเผยว่าในช่วงสัปดาห์นี้มีผู้บริหารของบรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานถึง 4 รายที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ของกัมพูชาที่กรุงพนมเปญเพื่อแสดงเจตจำนงในการขอสิทธิ

สัมปทานการสำรวจหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตที่ 4 ที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับกัมพูชา

ทั้งนี้โดยกลุ่มแรกที่ได้เข้าพบ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมานั้นก็คือผู้ บริหารของกลุ่ม Mitsui Oil Exploration Corp จากประเทศญี่ปุ่น ติดตามด้วยคณะผู้บริหารของ Chevron Corp จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงนับจากปี 2003 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ บรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวนี้ก็ได้ร่วมกันสำรวจในเขตที่ 3 อยู่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะร่วมกันสำรวจในเขตที่ 4 ด้วยหรือไม่

ส่วนอีก 2 กลุ่มที่แสดงเจตจำนงต่อ ฮุน เซน เพื่อขอสิทธิสัมปทานการสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตเดียวกันนี้ด้วยก็คือกลุ่ม INPEC Oil and Gas และกลุ่ม Marubeni Oil and Gas Corp จากญี่ปุ่นทั้งคู่ หากแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่านายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ของกัมพูชานั้นจะตัดสินใจเลือกกลุ่มไหน

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีบรรษัทยักษ์ใหญ่ในด้านพลังงานอีก 2 กลุ่มที่ได้แสดงความสนใจที่จะขอสิทธิสัมปทานการสำรวจในเขตที่ 4 ดังกล่าวนี้ด้วย กล่าวก็คือกลุ่ม TOTAL จากฝรั่งเศส และ China National Offshore Oil Corporation จากจีน จึงทำให้ ฮุน เซน ยังคงไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้สัมปทานแก่กลุ่มใด

นอกจากนี้ กรณีที่นับเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของบรรษัทต่างๆในเวลานี้ ก็คือการที่ทางการไทยและกัมพูชายังคงไม่สามารถตกลงกันได้เลยในส่วนที่เกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเล ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตร

โดยถึงแม้ว่าทางการไทยกับกัมพูชาก็เคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อปี 2549 ซึ่งได้ตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางนั้นให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50

ส่วนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลของไทยนั้น ก็ได้ตกลงให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่า ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนฯที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลของกัมพูชานั้น ก็ให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทยด้วยเช่นกัน

แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับสัดส่วนของการแบ่งผล ประโยชน์ กล่าวก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40 แต่ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับต้องการให้แบ่งเป็น 90 ต่อ 10 เพราะฝ่ายกัมพูชาเชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯมากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น นับจากที่ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโล เมตรในเขตปราสาทพระวิหารนับตั้งแต่กลางปี 2551 เป็นต้นมาจนถึงขั้นที่ต้องยิงปะทะกันด้วยอาวุธมาแล้ว 2 ครั้ง กล่าวคือเมื่อปลายปีที่แล้ว และก็ในต้นปีนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การเจรจาเกี่ยวกับน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตทับซ้อนทางทะเลไม่สามารถเกิดขึ้นเลยเนื่องเพราะถูกปัญหาขัดแย้งในเขตปราสาทเขาพระวิหารบดบังไปอย่างสิ้นเชิง

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

ท่านสามารถติดตามข่าวและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงได้ที่
www.indochinapublishing.com
-----------------------
วันศุกร์ ที่ 22 ตุลาคม 2553
ฮุน เซน เร่งกฎหมายสูบน้ำมันอ่าวไทย 2012 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 773 , 09:45:58 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

กระแสข่าวจากวงในการปิโตรเลียมแห่งชาติของกัมพูชา รายงานว่าการร่างกฎหมายน้ำมันฉบับแรกที่รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ได้มอบหมายให้เป็นความรับผิดชอบของการ ปิโตรเลียมแห่งชาติของกัมพูชานั้นจะดำเนินการร่างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเร็วๆนี้ โดยต่อจากนั้นก็จะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับรอง ก่อนที่จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภากัมพูชาเพื่อให้มีมติรับรองและผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯต่อกษัตริย์ นโรดม สีหมุนี เพื่อลงพระปรมาภิไธยประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป

โดยถึงแม้ว่ากระแสข่าวดังกล่าวนี้ จะไม่ได้ให้รายละเอียดว่าการดำเนินกระบวนการทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาสั้นหรือยาวเพียงใดก็ตาม แต่ก็หาได้เป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน เซน อย่างใดไม่ เนื่องเพราะพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน นั้นมีคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นทั้งในสภาล่างและสภาสูงจนแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภาเกือบจะเบ็ดเสร็จแล้วนั่นเอง

เพราะฉะนั้น จึงเชื่อได้เลยว่ากฎหมายน้ำมันฉบับแรกของกัมพูชาดังกล่าวจะผ่านการเห็นชอบในทุกวาระของทุกการประชุมได้อย่างชนิดที่เรียกว่าแบบม้วนเดียวจบเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าด้วยอำนาจอันท่วมล้นของรัฐบาล

ฮุน เซน นั้นได้กำหนดวันเวลาไว้แล้วว่าแก๊สธรรมชาติและก็น้ำมันหยดแรกในอ่าวไทยนั้น จะต้องถูกสูบขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาให้ได้ในวันที่ 12 ธันวาคม 2012 หรือ 12-12-12 (ซึ่งว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถที่จะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ยาวนานถึง 36 ปีติดต่อกันหรือก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้กับบุตรชายคนโตเมื่อ ฮุน เซน มีอายุครบ 70 ปีพอดี)

โดยไม่ว่าเคล็ดวิชาดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงตามความมุ่งหวังของ ฮุน เซน หรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่ากำหนดการ 12-12-12 ดังกล่าวนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือสินค้าตัวใหม่ที่ ฮุน เซน ได้เลือกแล้วว่ามันจะช่วยทำให้เขาและพรรคประชาชนกัมพูชานั้นได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวเขมรส่วนใหญ่ต่อไป ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าในปี 2012 นั้นจะมีการเลือกตั้งสภาระดับท้องถิ่น (Commune Council) อันจะเป็นฐานคะแนนเสียงที่แข็งแกร่งให้กับการเลือกตั้งทั่วไปในกลางปี 2013 ด้วยนั่นเอง

แน่นอนว่าถ้าหากพิจารณาจากฐานอำนาจของ ฮุน เซน ในเวลานี้ก็อาจจะทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าจริงๆแล้ว ฮุน เซน ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆก็ได้ แต่ถ้าหากจะมองจากประเด็นของการเจรจาต่อรองจนทำให้ UNESCO รับรองให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นผลทำให้พรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่ว ไปในเดือนกรกฎาคม 2008 นั้น แต่สำหรับ

ประชาชนชาวเขมรแล้วกลับยังไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดเลยจากการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารดังกล่าวโดยสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดสภาพการณ์ดังกล่าวขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะว่า ฮุน เซน นั้นได้นำเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทย จนลืมไปว่าตนเองนั้นมีสถานภาพเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

ซึ่งการกระทำ(อันไม่เหมาะสม)อย่างใดๆนั้นมันก็ย่อมจะต้องส่งผล กระทบถึงประชาชนชาวเขมรด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ ฮุน เซน เริ่มรู้สึกตัวและคิดได้ว่าการที่จะนำเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทยต่อไปนั้นมันมีแต่จะส่งผลร้ายต่อตัวเขาและพรรคประชาชนกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ย่อมจะตรงข้ามกับการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรที่จับต้องได้อย่างแก๊สฯและน้ำมันในอ่าวไทยอย่างแน่นอน เพราะ

ไม่เพียงจะสามารถกล่าวอ้างว่าเป็นผลประโยชน์ของชาวเขมรทั้งประเทศเท่านั้น หากยังรวมถึงโอกาสที่จะแสวง หาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและพรรคพวกได้อีกด้วย

ครั้นแล้ว ฮุน เซน (ที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชามาแล้ว 25 ปีติดต่อกันนั้น) ก็ได้เผยไต๋ให้เห็นถึงความต้องการในอันที่จะกอบโกยเอาผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตอ่าวไทยอย่างโล่งโจ้ง เมื่อรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของเขาเองได้รับเงินงวดแรกมูลค่าถึง 28 ล้านดอล ลาร์สหรัฐจากกลุ่มบริษัท TOTAL จากประเทศฝรั่งเศส สำหรับเป็นค่าสัมปทานสิทธิ์เพื่อการสำรวจหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่ Block 3 ในเขตอ่าวไทยที่อยู่ห่างจากชายฝั่งด้านจังหวัดสีหนุวิลล์ ทางภาค ใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตร เมื่อไม่นานมานี้

โดยถึงแม้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้จะเป็นสิ่งที่คาดหมายได้ล่วงหน้าก็ตาม เพราะ ฮุน เซน นั้นได้ตกลงให้สิทธิ์สัมปทานแก่กลุ่มบริษัท  TOTAL ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาได้เดินทางไปเยือนกรุงปารีสในช่วงเดือนกรกฎาคม 2009 แล้วก็ตาม แต่การที่กลุ่มบริษัท TOTAL มีความกล้าหาญถึงขนาดยอมจ่ายเงินก้อนดังกล่าวให้กับรัฐบาลของ ฮุน เซน ก็ย่อมจะหมายถึงความมั่นใจว่าการดำเนินการอย่างใดๆ ของกลุ่มบริษัท TOTAL ในระยะต่อไปนี้จะไม่ประสบปัญหาอันมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นที่รัฐบาลกัมพูชามีต่อรัฐบาลไทยแต่อย่างใด

แน่นอนบุคคลที่สามารถให้ความมั่นใจดังกล่าวกับกลุ่มบริษัท TOTAL ได้ก็ย่อมจะมีแต่ ฮุน เซน เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยกรณีที่น่าจะถือว่าเป็นหลักประกันจาก ฮุน เซน ก็คือการที่เขาได้ปรับเปลี่ยนท่าที ด้วยหวังจะปรับความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยภาย ใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ดีขึ้น ด้วยการกล่าวยืนยันอย่างชัดเจนระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำรัฐบาลจากประเทศสมาชิกของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission--MRC) ที่หัวหินแล้วว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ยอมให้ ทักษิณ ชินวัตร ใช้กัมพูชาเพื่อเคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันนี้อย่างเด็ดขาด

ซึ่งก็นับเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ไม่เพียงจะได้แสดงท่าทีให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเขาได้ให้การสนับสนุน ทักษิณ อย่างสุดตัวเท่านั้น หากยังได้แต่งตั้งให้ ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของตน ทั้งยังได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่สามารถที่จะร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีของไทยที่ชื่อว่า อภิสิทธิ์ ได้เลยอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงท่าทีของ ฮุน เซน ในช่วงเวลาที่ผ่านมายังเต็มไปด้วยความพยายามที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยทั้งในเวทีการประชุมระดับภูมิภาคและระดับสากลมาในตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีมานี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นประธานเวียนของกลุ่มอาเซียนอยู่นั้น ฮุน เซน ถึงกับได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอื่นๆเป็นผู้จัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนแทนรัฐบาลไทยเมื่อปรากฏว่ามีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในประเทศไทย

แต่ครั้นเมื่อการนำเสนอดังกล่าวไม่เป็นผล ฮุน เซน ก็ได้ใช้ทุกๆ เวทีที่เขาได้ไปร่วมประชุมด้วยนั้นเพื่อแถลงโจมตี อภิสิทธิ์ และรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ทั้งยังได้พยายามเคลื่อนไหวเพื่อตอกย้ำถึงความไม่พอใจที่มีต่อ อภิสิทธิ์ และรัฐบาลไทยเรื่อยมา

เพราะฉะนั้น การที่ ฮุน เซน ได้มาเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ จึงนับเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตอ่าวไทยได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการดังกล่าวนี้ของ ฮุน เซน ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน ก็คือการที่เขาได้หลุดปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขาได้กำหนดเวลาให้กลุ่ม Chevron บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ค้าน้ำมันจากสหรัฐอเมริกานั้นให้เร่งทำการขุดค้นเพื่อนำเอาน้ำมันและแก๊สฯในน่านน้ำของกัมพูชาในเขตอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกพิจารณาถอนสัมปทานในทันที

พร้อมกันนั้น  ฮุน เซน ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชานั้นให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อให้ร่วมทุนกับ Chevron Corp ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯเป็นการเฉพาะอีกด้วย

พร้อมๆกันนั้น  ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในกัมพูชาด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนในด้านดังกล่าวในระยะต่อไป โดยเขาได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายน้ำมันเพื่อประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้

ส่วนทางด้าน Chevron Corp ก็ได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลี ใต้เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตน่านน้ำของกัมพูชา นับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาแล้ว และถึงแม้ว่าจะยังคงไม่มีสรุปผลการสำรวจอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ Chevron Corp ก็ได้ให้การยืนยันกับ ฮุน เซน อย่างชัดเจนแล้วว่ารายงานสรุปผลการสำรวจทั้งหมดจะถูกนำเสนอต่อรัฐบาลเขมรภายในปี 2010 นี้อย่างแน่นอน

โดยกลุ่ม Chevron Corp กับกลุ่ม Mitsui และ กลุ่ม GS Caltex ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะและสำรวจหาน้ำมันในเขตสัมปทาน A ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขตจังหวัดสีหนุวิลล์นั้น ก็พบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง

ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว  ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า  10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตอ่าวไทย ในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนแล้ว ซึ่งรวมถึงการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากจีนด้วย

ส่วนธนาคารโลก ก็ได้แสดงการเชื่อมั่นว่าหากมีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์จะทำให้รัฐบาลกัมพูชามีรายรับมากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2011 แล้วก็เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020

เพราะฉะนั้น เมื่อ  ฮุน เซน ต้องการจะกอบโกยผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีนั้น จึงทำให้ ฮุน เซน ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการหันมาสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลไทยเท่านั้น

ดังจะเห็นได้จากการพบปะเจรจากับ อภิสิทธิ์ มาแล้ว 2 ครั้งติดๆ ทั้งยังมีกำหนดที่จะพบปะเจรจากันอีกเป็นครั้งที่ 3 ที่เวียดนามและอีกหลายๆครั้งในโอกาสต่อๆไป ซึ่งก็น่าจะทำเยี่ยงนี้มาตั้งนานแล้ว!!!

ทรงฤทธิ์  โพนเงิน

-------------------
วันอังคาร ที่ 4 มกราคม 2554
ฮุน เซน หวังกู้หน้าด้วยน้ำมันและแก๊สฯ 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 912 , 14:38:58 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

หลังจากที่ต้องเสียรังวัดทางการเมืองเป็นอย่างมากจากการแสดงท่าทีไม่รับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมในคืนวันลอยกระทงที่ชาวเขมรต้องสังเวยชีวิตไปเกือบ 400 ศพ อีกทั้งยังได้ประกาศว่าไม่มีใครคนใด ที่จะต้องรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมดังกล่าวด้วยนั้น ฮุน เซน ก็ได้พยายามในทุกวิถีทางเพื่อที่จะลบ ล้างภาพลักษณ์ของความไม่รับผิดชอบดังกล่าวของตนให้เลือนหายไปให้ได้เร็วที่สุดเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ครั้นเมื่อได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็เห็นจะมีก็แต่การหันกลับมาเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยเท่านั้นที่พอจะช่วยลบล้างภาพลักษณ์เช่นว่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทในเขตปราสาทพระวิหารที่เป็นมรดกโลก ซึ่งเคยสร้างคะแนนนิยมจากชาวเขมรจนทำให้ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชาได้รับชัยชนะอย่างท่วมล้นในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อกลางปี 2008 มาแล้วนั้นจึงทำให้ ฮุน เซน เลือกในแนวทางของการหันกลับมาเร่งเสริมสร้าง ความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลไทยเป็นด้านหลัก

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการทะเลาะหรือขัดแย้งกับรัฐบาลไทยในเรื่องของปราสาทพระวิหาร นับเป็นเวลาที่ยาวนานกว่า 29 เดือนมานี้ นอกจากจะทำให้ชาวเขมรไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดเลยจากมรดกโลกที่ว่านี้แล้ว หากก็ยังได้กลับกลายเป็นปมเขื่องที่คอยบ่อนทำลายภาพลักษณ์ของ ฮุน เซน ในฐานที่ได้นำเอาสถานะของการเป็นผู้นำรัฐบาลกัมพูชาไปเกลือกกลั้วกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในของไทย จนทำให้ชาวเขมรทั้งประเทศต้องได้รับผลกระทบด้านลบจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับไทยไปด้วย

โดยเมื่อประกอบกับการที่กัมพูชาเองก็มีกำหนดการเลือกตั้งสภาบริหารชุมชน (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012 อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ

(National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็วที่สุด

แต่ว่าการขับเคลื่อนกลวิธีในครั้งใหม่นี้ของ ฮุน เซน จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในช่วงกว่า 29 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากว่า ฮุน เซน นั้นไม่ได้ย้ำคิดย้ำทำในปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทในเขตปราสาท พระวิหารระหว่างกัมพูชากับไทยเหมือนเมื่อก่อน หากได้มองไปไกลยิ่งกว่านั้น ก็คือการมองไกลไปถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยเพื่อที่ว่าจะได้หวนกลับไปเปิดการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งจะสร้างผลประโยชน์ให้กับชาวเขมรทั้งประเทศได้มากกว่าผลประโยชน์จากมรดกโลกด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ได้หลุดปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขาได้กำหนดให้เวลากับกลุ่ม Chevron ยักษ์ ใหญ่ในวงการน้ำมันของสหรัฐฯ เพื่อให้ดำเนินการขุดค้น-นำเอาน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ ที่อยู่ในเขตน่านน้ำทางทะเลของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที

พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชานั้น ให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อให้ร่วมทุนกับ Chevron Corp ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเป็นการเฉพาะอีกด้วย

ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่นเพื่อให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในกัมพูชา ด้วย

หวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนในด้านดังกล่าวนี้ในกัมพูชาในระยะต่อไป

ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งทำการร่างกฎหมายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้ จึงเชื่อได้เลยว่ากฎหมายน้ำมันฉบับแรกของกัมพูชาจะผ่านการเห็นชอบในทุกวาระของทุกการประชุมได้อย่างชนิดที่เรียกว่าแบบม้วนเดียวจบซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าด้วยอำนาจอันท่วมล้นของรัฐบาล ฮุน เซน นั้น ได้กำหนดวันเวลาไว้แล้วว่าแก๊สฯและน้ำมันหยดแรกในอ่าวไทยนั้น จะต้องถูกสูบขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาให้ได้ในวันที่ 12 ธันวาคม 2012 หรือ 12-12-12 (ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถที่จะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ยาวนานถึง 36 ปีติดต่อกันหรือก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้กับบุตรชายคนโตเมื่อ ฮุน เซน มีอายุครบ 70 ปีพอดี)

ทางด้าน Chevron Corp ก็ยังได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่นและกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตน่านน้ำของกัมพูชานับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาแล้วนั้น และถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สรุปผลการสำรวจอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ Chevron Corp ก็ได้ให้การตอบสนองต่อเป้าหมายของ ฮุน เซน เป็นอย่างดีตลอดมา

โดยกลุ่ม Chevron Corp พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และ กลุ่ม GS Caltex ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะและสำรวจหาน้ำมันในเขตสัมปทาน A ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลด้านจังหวัดสีหนุวิลล์ในภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรนั้นพบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง

ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ในเขตอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นั้นยังได้แสดงการเชื่อมั่นต่อที่ประชุมสมัชชาว่าด้วยการลงทุนขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเอเชียที่สิงคโปร์ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้น มีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและก็มีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

พร้อมกันนั้น IMF ก็ยังได้ประมาณการด้วยว่า หากมีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้รัฐบาลกัมพูชามีรายรับมากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2554 และจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 ถ้าหากมีโรงกลั่นน้ำมันในกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม กรณีที่นับเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนขุดค้นของกลุ่มบริษัทต่างๆ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือการที่ทางการไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงกันได้ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์และเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตร

แต่ถึงกระนั้น ทางการไทยกับกัมพูชา ก็เคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยได้ตกลงที่จะแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สฯ ร่วมกันในสัดส่วน 50 ต่อ 50

ส่วนเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลของไทยนั้นก็ได้ตกลงให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่าฝ่ายกัมพูชา ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลของกัมพูชา ก็ให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับสัดส่วนของการแบ่งผลประโยชน์ กล่าวก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งเป็น 60 ต่อ 40 แต่ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับต้องการให้แบ่งเป็น 90 ต่อ 10 เพราะเชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งกัมพูชานั้นมีน้ำมันและแก๊สฯมากกว่าในเขตที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง

แต่นับจากที่ไทยและกัมพูชามีปัญหาพิพาทกันในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ในเขตปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่กลางปี 2551 เป็นต้นมาจนถึงขั้นที่ต้องยิงปะทะกันด้วยอาวุธมาแล้วนั้นก็ได้ทำให้ไม่มีการเจรจากันเกี่ยวกับน้ำมันและแก๊สฯเกิดขึ้นอีกเลย

ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ (ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งด้วยแล้ว จึงทำให้ ฮุน เซน ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอก

จากการหันมาเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลไทยเท่านั้น ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับความต้องการของรัฐบาลไทยในเวลานี้ที่จะต้องเร่งเครื่องให้เร็วกว่า ฮุน เซน ด้วยซ้ำ!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
-------------------------
วันจันทร์ ที่ 18 กรกฎาคม 2554
สิ่งที่อดีตที่ปรึกษาของ “ฮุน เซน” พึงกระทำ!!! 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 671 , 11:28:01 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

ทันทีที่ทราบผลว่าพรรคเพื่อไทย ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดของไทย ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและเพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นก็แทบจะสะกดความดีใจและความสะใจส่วนตัวไว้ไม่อยู่

แต่ครั้นเมื่อมาคิดได้ว่าการที่ผู้นำรัฐบาลของประเทศใดจะแสดงความดีใจกับผู้นำคนใหม่ของรัฐบาลประเทศใดนั้น จะต้องรอจนกว่าผู้นำคนใหม่ของรัฐบาลประเทศนั้นๆ ได้รับการแต่งตั้งและได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น จึงทำให้ ฮุน เซน ต้องหาทางแสดงออกซึ่งความดีใจและความสะใจส่วนตัวดังกล่าว ด้วยการสั่งให้ ฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศที่มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อกรณีพิพาทชายแดนกับไทยว่าด้วยปราสาทพระวิหารนั้น ออกมาแสดงถึงความในใจดังกล่าวแทนตนไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น การออกมาแสดงความยินดีกับ พรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาวสุดที่รักของ ทักษิณ) ในครั้งนี้ ฮอร์ นัมฮง ก็มิได้ทิ้งลวดลายของนักการทูตผู้มากด้วยประสบการณ์แต่อย่างใด โดยได้แสดงเจตนารมย์ผ่านสื่อเทศจากกรุงพนมเปญมาที่กรุงเทพฯ ว่า “การแก้ไขปัญหาขัดแย้งต่างๆที่ชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยนับจากนี้เป็นต้นไป จะยืนอยู่บนหลักสันติวิธี” ซึ่งในทางการทูตแล้วถือเป็นการตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าตาของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยทีเดียว

นั่นก็เป็นเพราะว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน นั้นถือว่า อภิสิทธิ์ เป็นศัตรูของพวกตนตั้งแต่ที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภาไทยแล้ว เนื่องจาก ฮุน เซน มองว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ อภิสิทธิ์ นั้นเป็นเพราะได้มีการหยิบยกเอากรณีของมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชานั้นขึ้นมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลของฝ่ายเพื่อนรัก อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาไม่สามารถบริหารและจัดการเพื่อสร้างผลประโยชน์จากมรดกโลกแห่งนี้ได้เลยนับเป็นเวลาถึง 3 ปีมาแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ในด้านหนึ่งนั้นสาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลฮุน เซน กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีกนั้นก็เป็นเพราะความผิดพลาดของ ฮุน เซน เองด้วย กล่าวคือการตัดสินใจแต่ง ตั้งให้ ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา เพียงแต่ว่าความผิดพลาดในกรณีที่ว่านี้ของ ฮุน เซน ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสื่อมวลชนในกัมพูชา (ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮุน เซน แทบทั้งสิ้น) แต่กลับได้ไปมุ่งเน้นในประเด็นที่ว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้พยายามดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา” นั่นเอง

แน่นอนว่าการที่ ฮุน เซน ได้สั่งการให้ ฮอร์ นัมฮง ออกมาแสดงเจตนารมย์ (แทนตนเอง) ในครั้งล่าสุดนี้ ย่อมมุ่งหมายที่จะทำให้รัฐบาลของตนสามารถที่จะดำเนินแผนการบริหารและจัดการมรดกโลกที่ปรา สาทพระวิหารได้อย่างสะดวกโยธิน โดยเชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่ตนมีอยู่กับ ทักษิณ ผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของ ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยนั้น จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชากลับคืนดีดังเดิมอันจะทำให้ง่ายต่อการเจรจาตกลงกันในทุกเรื่องด้วย

แต่การมองและความเชื่อเช่นว่านี้ของ ฮุน เซน ก็ต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดอีกครั้งได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ ฮุน เซน อาจจะลืมไปว่าองค์กรและกลุ่มพลังมวลชนทางการเมืองในไทยนั้นแตกต่างกับในกัมพูชาที่ ฮุน เซน สามารถใช้อำนาจเข้าไปควบคุมและแทรกแซงเพื่อบ่อนทำลายได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งซึ่งในข้อนี้ ทักษิณ เองก็น่าจะเข้าใจดียิ่งกว่า ยิ่งลักษณ์ ด้วยซ้ำ

ฉะนั้น สิ่งสำคัญอย่างแรกที่ ทักษิณ พึงกระทำอย่างยิ่งก็คือการให้คำปรึกษาแก่เพื่อนรักเพื่ออธิบายให้ เพื่อนรักอย่าง ฮุน เซน นั้นได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการเมืองไทยกับการเมืองกัมพูชา โดยถึงแม้ว่าระบบและโครงสร้าง

ทางการเมืองในทั้งสองประเทศนี้จะเหมือนกันทุกอย่างก็ตาม แต่ความแตกต่างก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน หรืออย่างน้อยที่สุด ทักษิณ ก็ควรจะอธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจว่าการใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดดังที่ ฮุน เซน ได้ประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอดในกัมพูชานั้นไม่สามารถที่จะใช้ได้ในประเทศไทย

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีปัจจัยที่สุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของน้องสาวสุดที่รักของ ทักษิณ ในสองกรณีเป็นอย่างน้อยกล่าวสำหรับกรณีแรกก็คือการประกาศถอนตัวจาก UNESCO ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ทิ้งเป็นมรดกตกทอดเอาไว้นั้น ประเด็นก็คือว่ารัฐบาลของน้องสาว ทักษิณ จะจัด การกับเรื่องนี้อย่างไร? เพราะทางเลือกมีอยู่เพียง 2 ทางเท่านั้น ซึ่งก็คือจะยืนยันตามการประกาศของ รัฐบาลอภิสิทธิ์หรือยกเลิกการประกาศดังกล่าวนั่นเอง

ซึ่งถ้าหากเลือกในแนวทางของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ย่อมหมายถึงการยอมรับในแนวทางที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ดำเนินการต่อรัฐบาลฮุน เซน มาโดยตลอด กล่าวคือการขัดขวางมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของ กัมพูชาต่อไป เนื่องจากเกรงว่ามรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารแห่งนี้จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนหรือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้แก่กัมพูชา แต่ถ้าหากเลือกในแนวทางของการยกเลิกการประกาศที่ว่านี้ ก็สุ่มเสี่ยงต่อการที่จะต้องเผชิญกับการประท้วงครั้งใหม่ของขบวนการชาตินิยม“ผู้รักชาติ”ทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่อดีตที่ปรึกษาพิเศษของรัฐบาลกัมพูชา พึงจะต้องอธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ก็คือปัญหาเร่งด่วนของรัฐบาลไทยชุดใหม่ภายใต้การนำของน้องสาวสุดที่รักผู้ซึ่งเป็นโคลนนิ่งของตนนั้นหาใช่กรณีปัญหา

เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารแต่อย่างใดไม่ (เช่นเดียวกับการนิรโทษกรรม) หากแต่เป็นปัญหาปากท้องของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ใน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งนั่นเอง

ส่วนปัจจัยที่สุ่มเสี่ยงอย่างที่สองนั้น ก็คือการที่รัฐบาลฮุน เซน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลระหว่างประเทศเพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาของศาลฯที่ว่าด้วยอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารที่ได้มีการตัด สินอย่างเป็นทางการในปี 1962 นั้น

สำหรับ ฮุน เซน แล้วย่อมจะถือว่าการยื่นคำร้องต่อศาลระหว่างประเทศหรือศาลโลกเพื่อขอให้ตีความคำตัดสินที่เกี่ยวกับความขัดแย้งว่าด้วยปราสาทพระวิหารระหว่างกัมพูชากับไทย เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนนั้นเป็นความสำเร็จที่ได้แสดงให้ชาวเขมรได้เห็นถึงความชาญฉลาดของตน ที่สามารถต่อสู้และรับมือกับประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถแจกแจงเหตุผลเพื่อประกอบการร้อง ขอต่อศาลโลกในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนในทุกประเด็น

กล่าวสำหรับประเด็นแรกก็คือการอ้างว่าคำพิพากษาปี 1962 นั้นได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่ปรากฏอยู่แล้ว และก็ได้รับการยอมรับจากทั้งสองประเทศ (ไทย-กัมพูชา) แล้ว ส่วนประเด็นที่สอง ก็คือการที่ได้อ้างว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามแผนที่ที่ศาลฯได้อ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษาปี 1962 นั้นเป็นแผนที่ที่ศาลฯ ได้พบว่าอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือตัวปราสาทนั้นเป็นผลโดยตรงจากการที่กัมพูชาได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น และก็ในประเด็นที่สามนั้น รัฐบาลของ ฮุน เซน ก็ยังได้อ้างถึงผลแห่งคำพิพากษา ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีภาระที่จะต้องทำการถอนทหารหรือเจ้าหน้าที่อื่นใดออกไปจากพื้นที่รอบตัวปราสาทที่

อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา ซึ่งทางการไทย ไม่เห็นด้วยกับทุกประเด็นดังกล่าว เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป จึงจำเป็นต้องมีการวินิจฉัยขอบเขตและความหมายของคำพิพากษาดังกล่าว

ส่วนที่ถือว่าเป็นไม้เด็ดของรัฐบาลฮุน เซน ในการยื่นคำร้องในครั้งนี้ด้วยนั้นก็คือการร้องขอให้ศาลโลกออกมาตราการคุ้มครองชั่วคราวตามมาตรา 41 ของธรรมนูญศาลฯ และมาตรา 73 ของระเบียบศาล โลกอย่างเร่งด่วนด้วย ซึ่งก็คือการสั่งให้ไทยถอนกำลังออกไปจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่เป็นอาณา เขตของกัมพูชาโดยไม่มีเงื่อนไข การห้ามกิจกรรมทุกชนิดของทหารไทยในพื้นที่ของปราสาทพระวิหาร

และการให้ไทยยุติการแทรกแซงสิทธิ์ของกัมพูชาและสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอีกด้วย

ส่วนที่ ฮุน เซน คาดหวังมากไปกว่านั้น ก็คือการตีความคำพิพากษาปี 1962 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตี ความในประเด็นที่เกี่ยวกับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบปราสาทดัง กล่าว (ในที่นี้ก็คือพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร) ซึ่ง ฮุน เซน คาดหวังว่ากัมพูชาจะเป็นฝ่ายที่มีชัยเหนือไทยอีกครั้ง

ดังที่คณะตุลาการศาลโลกได้มีคำตัดสินด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “...ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา...” จึงทำให้ “...ประเทศไทย (สยาม) นั้นมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลที่ไทยส่งไปประจำที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา...” ด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ฮุน เซน คาดไม่ถึงที่สามารถจะกลับกลายเป็นผลร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อกัมพูชาไทย และกับตัวของ ฮุน เซน เองด้วยนั้น ก็คือการตีความคำพิพากษาของศาลโลกตามการร้องขอของรัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน นั่นเอง ทั้งนี้โดยไม่ว่าศาลโลกจะตีความออกมาในทิศทางใดก็ตาม

กล่าวก็คือถ้าหากศาลโลกได้ตีความที่เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา เช่นการตีความว่าอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาที่มีอยู่เหนือปราสาทพระวิหารนั้นให้รวมถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยนั้น ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นติดตามมาก็คือความร้อนแรงทางการเมืองในประเทศไทยที่จะเริ่มขึ้นจากการปลุกกระแสชาตินิยมที่มีเป้าหมายที่การทำลายล้างระหว่างขั้วทางการเมืองในไทยด้วยการชูประเด็นที่ว่าด้วย “กู้ชาติ” เพื่อทำลายขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามในฐานะ “ผู้ขายชาติ” นั่นเอง

เพราะฉะนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ ทักษิณ สามารถที่จะกระทำได้เพื่อช่วยเหลือรัฐนาวาของน้องสาวสุดที่รักนั้นก็คือการอธิบายให้ ฮุน เซน เพื่อนรักได้มองเห็นผลร้ายเหล่านี้ และจะดียิ่งกว่านั้นก็คือการทำให้เพื่อนรักได้เห็นถึงความจำเป็นในอันที่จะแก้ไขปัญหาระหว่างกันด้วยการเจรจาแบบทวิภาคี ด้วยการเลิกล้มการขยายปัญหาไปสู่ระดับพหุภาคีอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพื่อที่ว่าจะได้ร่วมกันพัฒนามรดกโลกแห่งนี้ให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนโดยปราศจากความขัดแย้งระหว่างกันจริงๆต่อไป

นอกจากนี้ ก็มีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ ทักษิณ สามารถเกลี้ยกล่อมให้ ฮุน เซน ตอบสนองได้ทันที ก็คือการขออิสรภาพให้กับ วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ นั่นเอง!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
-------------------
วันจันทร์ ที่ 18 กรกฎาคม 2554
หมู่บ้านอนุรักษ์ฯสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งพระวิหาร 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 582 , 11:19:36 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

แม้การได้รับสถานภาพแห่งการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร หรือ Preah Vihear ของกัมพูชานั้นจะทำให้รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำสูงสุดของ ฮุน เซน ต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่มีอยู่กับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตลอดช่วงเกือบ 3 ปีมานี้ก็ตามแต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามของ ฮุน เซน ในอันที่จะทำให้วิมานสวรรค์ของพระศิวะแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์บนพื้นผิวโลกของมนุษย์ให้ได้อย่างแท้จริงแต่อย่างใด

ทั้งนี้โดยถ้าหากจะนับจากการที่คณะผู้แทนของ UNESCO ได้เดินทางเข้าไปสำรวจในพื้นที่ปราสาทฯดังกล่าวครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2009 ซึ่งคณะผู้แทนของ UNESCO ก็ได้ให้การแนะนำเพื่อให้รัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน ดำเนินการต่างๆเพื่อรองรับแผนการบริหารและจัดการมรดกโลกที่ได้มีการจัดแบ่งเขตต่างๆ ออกเป็น 5 เขตนั้นก็ปรากฏว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน ได้เร่งดำเนินการต่างๆตามการแนะนำของคณะผู้แทน UNESCO ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยความรวดเร็วยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีบทบาทในการอนุรักษ์มรดกโลกที่ ฮุน เซน ได้ให้ชื่อว่าหมู่บ้านสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งพระวิหารหรือ Eco-Village of Samdech Techo Hun Sen of Preah Vihear นั้นถือเป็นเขตที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วที่สุดในเวลานี้

กล่าวสำหรับตามแผนการของ ฮุน เซน แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารเข้าไปในเขตกัมพูชาประมาณ 20 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตที่กว้างถึง 43,997 เฮกตาร์หรือเกือบ 275,000 ไร่นั้น ฮุน เซน ได้จัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 เขตด้วยกัน

โดยเขตแรกนั้น ก็คือ เขตที่อยู่อาศัยของชาวเขมรอย่างน้อย 800 ครอบครัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างครบครัน เช่นโรงเรียน โรงพยาบาล น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์และถนนในหมู่บ้านที่สามารถเชื่อมต่อกับภายนอกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เป็นต้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ปรากฏว่าทางการ กัมพูชาได้ทำการสร้างบ้านให้กับชาวเขมรที่สมัครใจเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เสร็จแล้วจำนวน มากกว่า 320 หลัง ส่วนที่เหลือนั้นก็คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2011 นี้อย่างแน่นอน เพราะ จนถึงเวลานี้มีชาวเขมรมากกว่า 790 ครอบครัวแล้วที่ได้สมัครใจเข้าไปตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้

ส่วนที่ถือว่าได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น ก็คือโรงเรียน โรงพยาบาลและถนนที่กว้างถึง 9เมตรที่เชื่อมต่อจากหมู่บ้านไปยังหมู่บ้านแสมที่อยู่รอบนอกสุดของเขตมรดกโลก นอกจากนี้ รัฐบาลของ ฮุน เซน ยังได้เร่งมือดำเนินการขุดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 3 แห่งเพื่อตอบสนองความต้องการให้ได้ อย่างเพียงพอตลอดปีทั้งในครัวเรือน สถานที่ราชการ แหล่งธุรกิจ และการเกษตร ซึ่งถ้าหากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนการที่ ฮุน เซน ได้วางไว้จริง ก็หมายความว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้จะดำเนินการแล้วเสร็จอย่างครบถ้วนภายในปี 2011 นี้เช่นเดียวกัน

สำหรับเขตที่สอง ก็คือเขตพิพิธภัณฑ์อนุรักษ์มรดกโลกหรือ Eco-Global Museum นั้นถือเป็นส่วนที่ ฮุน เซน หมายมั่นที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งค้นคว้าอันทันสมัยที่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของกัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเขตหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายแสนจนถึงล้านคนให้เดินทางไปเยือนวิมานสวรรค์ของพระศิวะแห่งนี้ในแต่ละปีเช่นเดียวกับนครวัดที่เสียมเรียบ (เสียมราฐ) ซึ่งทำให้กัมพูชามีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้วาง แผนการที่จะเชื่อมต่อมรดกโลกทั้งสองแห่งนี้เข้าด้วยกันอีกต่างหาก

ส่วนชาวต่างชาติที่มีทุนทรัพย์จนเหลือล้นนั้น ก็สามารถที่จะลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านอนุรักษ์ฯสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งนี้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ด้วยการเข้าไปลงทุนในเขตที่สามที่ ฮุน เซน จัดสรรไว้เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศเป็นการเฉพาะทั้งในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวอย่างครบครัน เช่นสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ท และศูนย์การค้า เป็นต้นซึ่งเฉพาะในเขตพื้นที่นี้ ฮุน เซน ยังได้มองถึงเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าการได้มาซึ่งมรดกโลกของปราสาทพระวิหารแห่งนี้ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความขัดแย้งที่มีอยู่กับไทย จึงทำให้ ฮุน เซน ต้องเพิ่มเขตที่สี่เข้าไปในหมู่บ้านอนุรักษ์ฯ สมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งนี้เป็นการเฉพาะอีกเขตหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ก็คือเขตที่พักของครอบครัวทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดนั่นเอง

โดยที่ผ่านมานั้น ก็ปรากฏว่า ฮุน เซน ได้โยกย้ายอดีตทหารเขมรแดงและครอบครัวให้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในเขตนี้แล้วหลายร้อยครอบครัว ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีการโยกย้ายเข้าไปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่อง จากว่าผลประโยชน์ที่ครอบ

ครัวของอดีตทหารเขมรแดงเหล่านี้จะได้รับเป็นการตอบแทนจาก ฮุน เซน นั้นไม่ใช่เพียงการเลื่อนยศและเพิ่มอัตราเงินเดือนเท่านั้น หากยังได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินและสร้างบ้านพักให้อยู่อาศัยได้อย่างถาวรอีกด้วย

ความจริงแล้ว ฮุน เซน ได้เริ่มดำเนินการโยกย้ายครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงเข้ามาอยู่ในเขตปราสาท พระวิหารนับเป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้วหรือนับจากที่ได้มีการปะทะด้วยกำลังอาวุธกับทหารไทยในครั้งแรกในช่วงปลายปี 2008

เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นคณะผู้แทนของ UNESCO ยังไม่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจพื้นที่ในเขตปราสาทพระวิหาร จึงทำให้ยังไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับการก่อตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์ฯ สมเด็จเดโช ฮุน เซน แต่อย่างใด

แต่ถึงกระนั้น ฮุน เซน ก็ได้ใช้แนวนโยบายทหารนิยมด้วยการทั้งให้ ทั้งแจก และทั้งแถมผลประโยชน์ต่างๆนานาให้กับครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงที่สมัครใจเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ที่ต่อเนื่องจากกับ เขตปราสาทพระวิหารดัง

กล่าว และครั้นเมื่อคณะผู้แทนของ UNESCO ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่พร้อมกับการเสนอแนะให้รัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน ดำเนินการต่างๆตามการเสนอแนะดังกล่าวที่มีอยู่ทั้งหมด 13 ข้อเสนอแนะ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอแนะให้ดำเนิน

การก่อตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์มรดกโลกดังกล่าวด้วยนั้น จึงทำให้ ฮุน เซน ใช้เป็นโอกาสในการโยกย้ายครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงเข้าไปได้อย่างเหมาะเจาะ และยังได้ถือโอกาสใช้ชื่อของตนเป็นชื่อหมู่บ้านอีกด้วย

สำหรับการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะผู้แทนของ UNESCO อีก 12 ข้อที่เหลือนั้น ฮุน เซน ก็ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งก็เป็นผลทำให้การดำเนินงานได้คืบหน้าไปแล้วใน

หลายด้าน เช่น การก่อสร้างบันไดไม้ที่มีความยาวเกือบ 1,500 เมตรสำหรับใช้เป็นทางขึ้นสู่ตัวปราสาทพระวิหารจากด้านตะวันออกหรือจากฝั่งกัมพูชานั้นก็สร้างเสร็จแล้ว ส่วนถนนราดยางขนาดกว้าง 9 เมตรจากหมู่บ้านแสมเข้ามา

ยังปราสาทพระวิหารนั้นก็เสร็จแล้วเช่นกัน

โดยหมู่บ้านแสมดังกล่าวนี้ถือเป็นประตูสู่มรดกโลกแห่งปราสาทพระวิหาร ซึ่งตามการเสนอแนะของ คณะผู้แทนของ UNESCO นั้นจะพัฒนาให้หมู่บ้านแสมแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของธุรกิจภาคบริการต่างๆอย่างครบวงจร เช่น ศูนย์

บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์อาหาร ไนท์คลับ ศูนย์จำหน่ายของที่ระลึก สถานีรถ โดยสาร และธนาคารเป็นต้น ต่างก็ล้วนแล้วแต่จะถูกจัดให้อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ทั้งสิ้น (และที่แน่ๆ ที่ดินส่วนใหญ่ในเขตดังกล่าวนี้ได้ตกไปอยู่ในมือพรรค

พวกของ ฮุน เซน เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน)

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการกระทบกระทั่งกับไทยในตลอดช่วงเกือบ 3 ปีมานี้หาได้มีผลกระทบต่อการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆเพื่อรองรับแผนการบริหารและจัดการมรดกโลกแห่งนี้ของกัมพูชา แต่อย่างใด ทั้งยังเชื่อด้วยว่า

การประกาศถอนตัวของไทยจาก UNESCO ในครั้งนี้ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อ ฮุน เซน อีกต่างหาก โดยถึงแม้ว่าความขัดแย้งที่เป็นอยู่นี้จะทำให้รัฐบาลของ ฮุน เซน ไม่สามารถที่จะเดินหน้าในการปฏิบัติแผนการบริหารและจัดการ

มรดกโลกแห่งนี้ได้จนถึงทุกวันนี้ก็ตาม แต่สำหรับฮุน เซน แล้วก็สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ด้วยการให้เหตุผลต่อชาวเขมรทั้งในและต่างประเทศว่าสาเหตุและอุปสรรคที่สำคัญที่สุดนั้นมาจากการขัดขวางของรัฐบาลไทยนั่นเอง

ซึ่งด้วยเหตุผลที่ว่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการทำให้ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชาของเขานั้นสามารถที่จะยึดกุมชัยชนะทั้งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในต้นปี 2012 และการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปในกลางปี 2013 ได้

อย่างแน่นอน (โดยไม่ต้องสนใจเลยว่าจะสามารถปฏิบัติแผนการบริหารและจัด การมรดกโลกได้จริงๆเมื่อใด) นี่จึงนับได้ว่าปราสาทพระวิหารแห่งนี้คือมรดกของ ฮุน เซน โดยแท้!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
--------------------------
วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม 2554
“ฮุน เซน” หวัง “ปู” ตกลงแบ่งแก๊สฯ-น้ำมัน 80:20 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 1196 , 15:44:47 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

หลังจากที่ได้แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าต่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้วนั้น ฮุน เซน ก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยโอกาสที่จะได้แสดงความยินดีอย่าง เป็นทางการกับ ยิ่งลักษณ์

ชินวัตร (น้องสาวของ ทักษิณ เพื่อนรัก) อย่างใจจดใจจ่อ เนื่องเพราะมั่นใจว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของน้องสาวเพื่อนรักนั้นจะทำให้ความขัดแย้งว่าด้วยเรื่องพื้นที่พิพาทและการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างไทยกับ

กัมพูชาที่ดำเนินมาถึง 3 ปีแล้วนั้นจะได้ข้อยุติหรือจบสิ้นกันไปเสียที

โดยความมั่นใจดังกล่าวนี้ของ ฮุน เซน ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อปรากฏว่าทั้ง ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ได้ประสานเสียงกันตามประสาพี่น้องที่ “โคลนนิ่ง” กันมานั้นว่าปัญหาการต่างประเทศที่จะต้องแก้ไขเร่งด่วนที่สุดเป็นอย่างแรกของ

รัฐบาล “โคลนนิ่ง” ทักษิณ นั้น ก็คือการปรับปรุงและก็เสริมสร้างความ สัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชานั่นเอง

ครั้นเมื่อเห็นว่า ทักษิณ เพื่อนรักและน้องสาวได้ออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้ ฮุน เซน ก็มิได้นิ่งดูดาย แต่ได้ออกมาเสริมในเรื่องเดียวกันนี้ว่าตนเองนั้นยินดีและพร้อมที่จะพบและเจรจากับน้องสาวของ ทักษิณ เพื่อนรักทุกเวลา ทุกสถานที่

และในทุกๆเรื่องราวที่เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสอง ประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับท่าทีที่ ฮุน เซน ได้แสดงต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นับตั้ง แต่วันแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย

แน่นอนว่าการแสดงท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ของ ฮุน เซน ในด้านหนึ่งนั้นย่อมต้องการที่จะตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่มีอยู่กับ ทักษิณ เพื่อนรัก แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็เป็นที่รู้กันเป็นอย่างดีในบรรดา

ผู้ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ฮุน เซน ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ ฮุน เซน ได้ทำดีกับใคร ก็ตาม ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องการสิ่งตอบแทนทั้งสิ้น” โดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่ ทักษิณ เพื่อนรัก

ครั้นแล้วความต้องการของ ฮุน เซน ก็ถูกเปิดเผย เมื่อเวบไซต์เจ้าปัญหาอย่าง Wiki-leak นั้นได้ปล่อยข้อมูลลับออกมาว่า “ฮุน เซน กับ ทักษิณ นั้นเคยตกลงแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อน

ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างกันในสัดส่วน 80 ต่อ 20”

ซึ่งหากจะว่าไปแล้วกรณีดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ได้หลุดปากออกมาในโอกาสเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขา

ได้กำหนดให้เวลากับกลุ่ม Chevron ยักษ์ ใหญ่ในวงการน้ำมันของสหรัฐฯ เพื่อให้ดำเนินการขุดค้น-นำเอาน้ำมันและแก๊สฯที่อยู่ในเขตน่านน้ำทางทะเลของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่น

นั้นก็จะดำเนินการถอนสัมปทานทันที

พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชานั้น ให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อให้ร่วมทุนกับ Chevron Corp ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯเป็นการเฉพาะอีกด้วย

ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่นเพื่อให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในกัมพูชา ด้วย

หวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนในด้านดังกล่าวนี้ในกัมพูชาในระยะต่อไป

ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งทำการร่างกฎหมายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้ จึงเชื่อได้เลยว่ากฎหมายน้ำมันฉบับแรกของกัมพูชาจะผ่านการ

เห็นชอบในทุกวาระของทุกการประชุมได้อย่างชนิดที่เรียกว่าแบบม้วนเดียวจบ

ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าด้วยอำนาจอันท่วมล้นของรัฐบาล ฮุน เซน นั้น ได้กำหนดวันเวลาไว้แล้วว่าแก๊สฯและน้ำมันหยดแรกในอ่าวไทยนั้น จะต้องถูกสูบขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาให้ได้ในวันที่

12 ธันวาคม 2012 หรือ 12-12-12 (ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถที่จะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ยาวนานถึง 36 ปีติดต่อกันหรือก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้กับ ฮุน มาเนตร บุตรชายคน

โตเมื่อ ฮุน เซน มีอายุครบ 70 ปีพอดี)

ทางด้าน Chevron Corp ก็ยังได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่นและกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตน่านน้ำของกัมพูชานับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาแล้วนั้น และถึงแม้ว่าจะยังไม่

ได้สรุปผลการสำรวจอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ Chevron Corp ก็ได้ให้การตอบสนองต่อเป้าหมายของ ฮุน เซน เป็นอย่างดีตลอดมา

โดยกลุ่ม Chevron Corp พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และ กลุ่ม GS Caltex ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะและสำรวจหาน้ำมันในเขตสัมปทาน A ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลด้านจังหวัดสี

หนุวิลล์ในภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรนั้นพบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง

ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ในเขตอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว โดยใน

ที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นั้นยังได้แสดงการเชื่อมั่นต่อที่ประชุมสมัชชาว่าด้วยการลงทุนขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯในภูมิภาคเอเชียในช่วงก่อนหน้านี้ว่าน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตทับซ้อน

ทางทะเลระหว่างกัมพูชากับไทยนั้น มีปริมาณน้ำมันสำรองที่มากถึง 2,000 ล้านบาร์เรล และมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันมากกว่า 5 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

พร้อมกันนั้น IMF ก็ยังได้ประมาณการด้วยว่า หากมีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้รัฐบาลกัมพูชามีรายรับมากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและก็จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้าน

ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือเมื่อโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของกัมพูชาได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จและได้ทำการกลั่นน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น

อย่างไรก็ตาม กรณีที่นับเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนขุดค้นของกลุ่มบริษัทต่างๆ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือการที่ทางการไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงกันได้ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการแบ่ง

ปันผลประโยชน์และเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตร

แต่ถึงกระนั้น ทางการไทยกับกัมพูชา ก็เคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยได้ตกลงที่จะแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์จากน้ำมัน

และแก๊สฯ ร่วมกันในสัดส่วน 50 ต่อ 50

ส่วนเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลของไทยนั้นก็ได้ตกลงให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่าฝ่ายกัมพูชา ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลของกัมพูชา ก็ให้แบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่าย

ไทย แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับสัดส่วนของการแบ่งผลประโยชน์ กล่าวก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งเป็น 60 ต่อ 40 แต่ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับต้องการให้แบ่งเป็น 90 ต่อ 10 เพราะเชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งกัมพูชานั้นมีน้ำมันและ

แก๊สฯมากกว่าในเขตที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง

แต่นับจากที่ไทยและกัมพูชามีปัญหาพิพาทกันในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ในเขตปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่กลางปี 2551 เป็นต้นมาจนถึงขั้นที่ต้องยิงปะทะกันด้วยอาวุธมาแล้วนั้นก็ได้ทำให้ไม่มีการเจรจากันเกี่ยวกับผลประโยชน์

จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯระหว่างกันเกิดขึ้นอีกเลย

ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ (ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งสภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่ว

ประเทศในต้นปี 2012 อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้

บังเกิดผลให้เร็วที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20 และส่วนที่

อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
--------------------
วันพุธ ที่ 24 สิงหาคม 2554
สิ่งที่ “ปู” พึงรู้เกี่ยวกับ “ฮุน เซน” 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 2178 , 12:23:15 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

ฮุน เซน นับเป็นผู้นำรัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเป็นทางการ โดยเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเป็นผู้รับหน้าที่ส่งสาส์

นดังกล่าวด้วยตนเอง ทั้งยังนับเป็นนักการทูตต่างชาติคนแรกที่เข้าพบ ยิ่งลักษณ์ อย่างเป็นทางการอีกด้วย

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ของ ฮุน เซน ในด้านหนึ่งนั้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่พึงกระทำอย่างยิ่งในฐานะที่ ฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศที่กำลังมีปัญหาขัดแย้งอยู่กับประเทศไทย แต่ที่ผิดปกติก็คือการที่ ฮุน เซน ได้

สั่งการให้ถอนทหารเขมรหลายร้อยนายออกไปจากพื้นที่พิพาทโดยรอบปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาล ฮุน เซน ได้ยืนกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอดว่าจะไม่ยอมถอนทหารออกไปจากเขตปราสาทพระ

วิหารอย่างเด็ดขาด แต่ฝ่ายที่จะต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ดังกล่าวก็คือฝ่ายไทยเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ในคำร้องที่รัฐบาล ฮุน เซน ยื่นต่อศาลโลกนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงท่าทีเป็นมิตรของ ฮุน เซน ที่มีต่อ ยิ่งลักษณ์ (น้องสาวของ ทักษิณ เพื่อนรัก) ดังกล่าวนี้ ก็ยังถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีได้เช่นกัน (หากเทียบกับท่าทีที่มีต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เพราะ ถ้าหากว่า ฮุน เซน มีเจตนา

ดีดังที่ได้พรรณาไว้ในสาส์นแสดงความยินดีที่ส่งถึงมือ ยิ่งลักษณ์ ดังกล่าวนี้จริงๆ ก็ย่อมจะทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆที่ไทยกับกัมพูชามีอยู่ต่อกันนั้นสามารถที่จะเจรจาตกลงกันได้ง่ายขึ้นและเกิดผลที่เป็นรูปธรรมกว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ พึงจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการคบค้าสมาคมกับ ฮุน เซน ก็คือต้องจดจำไว้เลยว่าคนอย่าง ฮุน เซน นั้นไม่ยอมเสียเปรียบใคร และพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากทุกคนที่เห็นว่าพอจะมีประโยชน์ต่อ

การรักษาผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองของเขาได้สืบไป

อย่างในกรณีของปราสาทพระวิหารนั้น แม้แต่เพื่อนรักอย่าง ทักษิณ ก็เกือบจะพลาดท่าให้กับ ฮุน เซนมาแล้ว เมื่อปรากฏว่า ฮุน เซน ได้มีจดหมายเชิญถึง ทักษิณ เพื่อขอให้เดินทางไปเยือนกัมพูชาในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย

โดยสถานที่ที่ ฮุน เซน ได้จัดเตรียมไว้เพื่อจัดพิธีต้อนรับอย่างใหญ่โตนั้นก็คือสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของวัดแก้วสิกขาสวารักษ์ในทุกวันนี้นั่นเอง แต่ก็ยังนับว่าดีที่ ทักษิณ ไม่พลาดเสียทีให้แก่ ฮุน เซน ในคราวนั้น

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ารัฐบาล ทักษิณ ในเวลานั้นมีรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศเป็นถึงศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศอย่าง กันตธีร์ ศุภมงคล ที่ได้ให้คำปรึกษาว่า ทักษิณ ไม่พึงเดินทางไปสถานที่ที่ ฮุน เซน จัดเตรียมไว้ดัง

กล่าว เพราะการเดินทางไปสถานที่เช่นว่านั้นจะเป็นเสมือนการยอมรับว่าพื้น ที่ (ซึ่งอยู่ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร) ดังกล่าวนั้นอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชานั่นเอง

โดยกรณีในลักษณะเดียวกันนี้ ทางฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาก็เคยใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลมาแล้ว ซึ่งก็คือกรณีที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร โดยมีข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศสคอยต้อนรับในขณะที่ตัว

ปราสาทนั้นประดับประดาไปด้วยธงชาติฝรั่งเศส ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ได้ถูกฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นพยานหลักฐานสำคัญและทำให้ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของฝ่ายกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

ถึงแม้ว่าในกรณีของ ทักษิณ ดังกล่าวนี้จะไม่เกิดขึ้นเพราะไหวตัวทันก็ตาม แต่สำหรับ ฮุน เซน แล้วหาได้หยุดเพียงเท่านั้นไม่ เมื่อปรากฏว่า ฮุน เซน ได้สั่งการให้ชาวเขมรโยกย้ายเข้าไปตั้งชุมชน ตลาดและวัดในพื้นที่พิพาท 4.6

ตารางกิโลเมตรดังกล่าวเรื่อยมา และที่ถือว่าผิดปกติอย่างยิ่งก็คือทางการไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การยืนยันว่าได้ทำการประท้วงการกระทำดังกล่าวของฝ่าย ฮุน เซน มาโดยตลอด แต่ก็มิทราบได้ว่าเหตุไฉนการประท้วง

ที่ว่านั้นมันถึงเงียบกริบมาโดยตลอดเช่นกัน

ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าผู้นำรัฐบาลไทยในช่วงนั้นไม่ต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่โต เนื่องจากเชื่อมั่นว่าด้วยความเป็นเพื่อนรักที่มีอยู่กับ ฮุน เซน นั้นจะทำให้สามารถพูดจาเพื่อตกลงกันได้โดยง่าย และในขณะเดียวกัน ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่ (ผู้นำ) รัฐบาลไทยกับกัมพูชากำลังเจรจาต่อรองกันในหลายเรื่องเช่นการปักปันเขตแดนทางบก การแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย และการลงทุนพัฒนาเกาะกงให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเป็นต้น จึงทำให้ต้องเก็บงำการประท้วงที่ว่านี้เอาไว้เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศของการเจรจาต่อรองดังกล่าว

ครั้นแล้ว ทักษิณ ก็พลาดจนได้ เมื่อความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยมนั้นต้องมีอันสูญสลายไปกับการถูกรัฐประ หารยึดอำนาจทางการเมืองในเดือนกันยายน 2549 และถึงแม้ว่าพลพรรคของ ทักษิณ จะชนะการเลือก ตั้งทั่วไปในปี 2551 แต่ความเชื่อมั่นที่เคยมีในอดีตนั้นก็ได้กลับกลายเป็นอาวุธที่ได้ย้อนกลับมาทิ่มแทง ทักษิณ จนแทบจะเอาตัวไม่รอด มิหนำซ้ำเพื่อนรักอย่าง ฮุน เซน นั้นก็ยังมิยอมอพยพชาวเขมรออกไปจากพื้นที่พิพาทดังกล่าวจนเท่าทุกวันนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ ก็มีอีกกรณีหนึ่งที่ ยิ่งลักษณ์ (น้องรักของ ทักษิณ) จะต้องระมัดระวังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งก็คือการเจรจาตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย

เพราะกระแสข่าวล่าสุดที่หลุดออกมาจากปากของ Steve Glick ประธานของกลุ่มบริษัท Chevron แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้สำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล ฮุน เซน นั้น ก็คือกลุ่มบริษัท Chevron พร้อมแล้วที่จะลงทุนขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯในอ่าวไทย โดยในขณะนี้ยังรอเพียงไฟเขียวจากรัฐบาล ฮุน เซน เท่านั้น

ฉะนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันที่ ฮุน เซน ต้องรีบร้อนส่งสาส์นแสดงความดีใจถึง ยิ่งลักษณ์ เช่นนี้ เพราะผลประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สฯที่ ฮุน เซน คาดหวังว่าจะได้อย่างเป็นกอบเป็นกำนั้นย่อมไม่ใช่เพียงเฉพาะในเขตน่านน้ำของกัมพูชาเท่านั้น หากแต่ ฮุน เซน ยังได้มองถึงเขตทับซ้อนทางทะเลที่มีอยู่กับไทยที่มีอาณาบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรด้วย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ฮุน เซน ยังคาดหวังด้วยว่าผลลัพธ์ของการเจรจากับ ยิ่งลักษณ์ นั้นจะออกมาอย่างเดียวกันกับที่เคยตกลงในหลักการไว้กับ ทักษิณ เพื่อนรักด้วย

ทั้งนี้โดยความต้องการของ ฮุน เซน ได้ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซต์เจ้าปัญหาอย่าง Wiki-leak ซึ่งได้ปล่อยข้อมูลลับออกมาว่า “ฮุน เซน กับ ทักษิณ นั้นเคยตกลงแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างกันในสัดส่วน 80 ต่อ 20”

ซึ่งหากจะว่าไปแล้วกรณีดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ได้หลุดปากออกมาในโอกาสเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขา

ได้กำหนดให้เวลากับกลุ่ม Chevron ยักษ์ ใหญ่ในวงการน้ำมันของสหรัฐฯ เพื่อให้ดำเนินการขุดค้น-นำเอาน้ำมันและแก๊สฯที่อยู่ในเขตน่านน้ำทางทะเลของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่นนั้นก็จะดำเนินการถอนสัมปทานทันที

พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชานั้น ให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อให้ร่วมทุนกับ Chevron Corp ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯเป็นการเฉพาะอีกด้วยส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่นเพื่อให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในกัมพูชา ด้วย

หวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนในด้านดังกล่าวนี้ในกัมพูชาในระยะต่อไป

ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งทำการร่างกฎหมายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้ จึงเชื่อได้เลยว่ากฎหมายน้ำมันฉบับแรกของกัมพูชาจะผ่านการเห็นชอบในทุกวาระได้อย่างชนิดที่เรียกว่าแบบม้วนเดียวจบ

ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าด้วยอำนาจอันท่วมล้นของรัฐบาล ฮุน เซน นั้น ได้กำหนดวันเวลาไว้แล้วว่าแก๊สฯและน้ำมันหยดแรกในอ่าวไทยนั้น จะต้องถูกสูบขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาให้ได้ในวันที่

12 ธันวาคม 2012 หรือ 12-12-12 (ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถที่จะครองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ยาวนานถึง 36 ปีติดต่อกันหรือก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้กับ ฮุน มาเนตร บุตรชายคนโตเมื่อ ฮุน เซน มีอายุครบ 70 ปีพอดี)

ทั้งนี้โดยธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นั้น เชื่อว่าน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตทับซ้อนทางทะเลดังกล่าวนี้มีน้ำมันสำรองที่มากถึง 2,000 ล้านบาร์เรล และมีแก๊สฯอีกกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตหรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าหากขุดค้นขึ้นมาก็จะทำให้รัฐบาล ฮุน เซน มีรายรับมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจของกลุ่มบริษัทต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมา ก็คือการที่ไทยกับกัมพูชายังไม่สามารถตกลงกันได้ทั้งในส่วนของการแบ่งปันผลประโยชน์และเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน

แต่ถึงกระนั้น ทักษิณ กับ ฮุน เซน ก็เคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยได้แบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางให้แบ่งผลประโยชน์ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 แต่ก็ยังตกลงกัน

ไม่ได้คือเขตที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้แบ่ง 60 ต่อ 40 แต่ฝ่ายกัมพูชาต้องการให้แบ่ง 90 ต่อ 10 เพราะได้รับข้อมูลว่าพื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งกัมพูชานั้นมีน้ำมันและแก๊สฯมากกว่าเขตที่อยู่ใกล้ฝั่งไทย

ครั้นเมื่อรู้ไส้เห็นพุงของ ฮุน เซน เช่นนี้แล้ว จึงอยู่ที่ ยิ่งลักษณ์ เองว่าจะเลือกเดินตามรอยทางที่ผู้เป็นพี่ชายได้วางไว้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ พึงจะต้องระมัดระวังไว้ให้มากอย่างยิ่งยวดนั้นย่อมมิใช่สีเสื้อต่างๆ ในประเทศ

ไทยอย่างแน่นอน หากแต่เป็น ฮุน เซน เพื่อนรักของ ทักษิณ นั่นเอง!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

-------------------
วันอังคาร ที่ 30 สิงหาคม 2554
สัมพันธภาพ ฮุน เซน – ทักษิณ – เชฟรอน 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 491 , 11:57:26 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่เพียงจะทำให้ ฮุน เซน (เพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร) ได้แสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตา ด้วยการเป็นผู้ นำรัฐบาลของต่างประเทศ

รายแรกที่ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น หากแต่ชัยชนะดังกล่าวของพรรคเพื่อไทย ยังเป็นเสมือนโอสถทิพย์ที่ช่วยชุบชีวิตทางธุรกิจให้กับยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจพลังงานของโลกอย่างกลุ่มบริษัทเชฟรอน

(Chevron) แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้โดยทันทีที่ได้รับทราบผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยอย่างเป็นทางการแล้วนั้น Steve Glick ประธานของกลุ่ม Chevron ถึงกับได้บินตรงจากสหรัฐฯ เพื่อไปปฏิบัติภารกิจในกัมพูชาเป็นกรณีพิเศษนับจากต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้น

มาแล้ว และมีกำหนดที่จะปฏิบัติภารกิจพิเศษดังกล่าวในกัมพูชาเป็นเวลาถึง 3 เดือนติดต่อกันอีกด้วย

แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ Steve Glick ยังได้ให้การยืนยันต่อสื่อมวลชนเขมรและต่างชาติในกรุงพนมเปญด้วยว่ากลุ่ม Chevron จะเดินหน้าการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยต่อไป โดยในเวลานี้ยังคงรอเพียง

การอนุมัติสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าทันทีที่การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาได้อนุมัติสัมปทานอย่างเป็นทางการแล้วนั้น กลุ่ม Chevron ก็จะประกาศแผนการลงทุนเพื่อสูบน้ำมันและแก๊สฯในทะเล

อ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ในทันทีนั่นเอง

โดยการแถลงยืนยันดังกล่าวนี้ ถึงแม้ว่า Steve Glick จะมิได้เปิดเผยถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการลงทุนและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนที่จะมีขึ้นดังกล่าวก็ตาม แต่การที่เขาได้เน้นย้ำว่ากลุ่ม Chevron ที่ได้เริ่มทำการ

สำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาในอ่าวไทยนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา และได้ใช้เงินทุนไปแล้วมากกว่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯถึง 18

หลุมแล้วนั้น ทั้งยังได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานจากการปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 เป็น ต้นมาด้วยแล้ว ย่อมถือเป็นหลักประกันได้ว่ากลุ่ม Chevron นั้นจะไม่ยอมละทิ้งผล

ประโยชน์อันพึงจะได้รับจากน้ำมันและแก๊สฯในส่วนนี้ไปอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ได้หลุดปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่าเขานั้นได้กำหนดกรอบเวลาให้กลุ่ม Chevron ดำเนินการขุดค้น และนำ

เอาน้ำมันหรือแก๊สฯ ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ภายในปี 2012 หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที

พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชาให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาร่วมทุนกับกลุ่ม Chevron ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯ ดังกล่าวเป็น การเฉพาะ ทั้งยังได้สั่ง

การให้การปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในกัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลง

ทุนก่อสร้างโรงกลั่นฯดังกล่าวในระยะต่อไป ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้อีกด้วย

ครั้นเมื่อมองเห็นเป้าหมายของ ฮุน เซน อย่างชัดเจนเช่นนี้กลุ่ม Chevron ก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาอย่างขนานใหญ่

และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากการสำรวจในระยะที่ผ่านมาก็ตาม แต่การที่กลุ่ม Chevron ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานการขุดค้นจาก การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือน

สิงหาคม 2010 เป็นต้นมาแล้วนั้นก็ย่อมจะถือเป็นคำตอบ ทั้งก็ยังถือเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าวของ ฮุน เซน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ทั้งนี้โดยกลุ่ม Chevron พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และกลุ่ม GS Caltex ได้ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตสัมปทาน A ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขต

จังหวัดสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรนั้น พบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง

ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ ในทะเลอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว โดยในที่นี้ยัง

รวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การปิโตรเลี่ยมแห่งสิงคโปร์ และยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนอย่าง China National Offshore Oil Corp ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้แสดงการเชื่อมั่นว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและมี

ปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ IMF ได้ประมาณการว่าหากได้มีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้รัฐบาลของ ฮุน เซน

มีรายได้มากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อได้ดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแล้วเสร็จนั้น ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องเร่งผลักดันแผนการนี้ให้เกิดขึ้น

อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานทั้งหลายในระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้ ก็คือความขัดแย้งระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชาที่ว่าด้วยพื้นที่พิพาทในเขตปราสาท

พระวิหาร และการที่ทางการของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรในเขต

อ่าวไทยนั้น

โดยถึงแม้ว่าทางการไทยและกัมพูชา (ทักษิณ กับ ฮุน เซน) จะเคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ก็ตาม แต่ส่วนที่ยังตกลงกันไม่ได้ ก็คือเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยและเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายไทยนั้นเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40 คือใกล้ชายฝั่งของฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าแต่ฝ่ายกัมพูชากลับต้องการให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 90 ต่อ 10 เพราะ ฮุน เซน เชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯมากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง

ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ (ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งสภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012 อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็วที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20 และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป

ยิ่งเมื่อประกอบกับการที่ Steve Glick ประธานกลุ่ม Chevron ก็กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจพิเศษอยู่ในกัมพูชา ทั้งยังเป็นช่วงเดียวกันกับการที่เพื่อนรักอย่าง ทักษิณ ผู้โคลนนิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวจริงนั้น ก็จะมีภารกิจพิเศษที่กัมพูชาด้วยแล้ว จึงนับเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะกันเป็นอย่างยิ่งในอันที่จะทำให้ผลประโยชน์ก้อนโตที่ ฮุน เซน วาดหวังไว้นั้นจะตกอยู่ในอุ้งมือของเขาในเร็ววันนี้เป็นแน่และหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ยังหมายถึงหลักประกันที่จะทำให้ ฮุน เซน สามารถครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ต่อไปอีกนานหรือจนกว่าชีวิตจะหาไม่นั่นเอง!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
--------------
วันพุธ ที่ 14 กันยายน 2554
ฮุน เซน หวังค่าต๋งเพิ่มจากบ่อนกาสิโน 
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 141 , 07:22:37 น.  
หมวด : ต่างประเทศ

ในขณะที่นักการเมืองไทยผู้ปราดเปรื่องในอบายมุขทั้งหลายกำลังเมามันอยู่กับการแฉเรื่องราวของการลักลอบเปิดบ่อนการพนันที่มีอยู่ไปทั่วทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยหวังว่าจะใช้เป็นไม้เด็ดหรือเหตุผลสำคัญในการปรับย้ายข้าราชการตำรวจระดับบิ๊กทั้งหลายนั้น ดูเหมือนว่าผู้ที่กำลังปิติยินดีต่อข่าวคราวดังกล่าวนี้มากที่สุดในเวลานี้ก็คงจะไม่มีใครเกินหน้าเกินตานายกรัฐมนตรีตลอดชีพของกัมพูชาที่นามว่า ฮุน เซน อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าความขัดแย้งเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารที่ดำเนินมาในตลอดช่วงกว่า 3 ปีมานี้ทั้งก็ยังบานปลายไปถึงขั้นฟ้องร้องกันที่ศาลโลกในเวลานี้ด้วยนั้นได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่ ฮุน เซน ได้จากบ่อนกาสิโนเป็น

อย่างมาก เพราะนักพนันทั้งหลายจากประเทศไทยได้พากันเปลี่ยนสถานที่เสี่ยงโชคจากบ่อนกาสิโนในกัมพูชามาเล่นในประเทศหรือไปที่ลาวและพม่าแทนนั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ่อนกาสิโน Savan Vegas ที่แขวงสะหวันนะเขต (ตรงข้ามจังหวัดมุกดาหาร) นั้นก็มีรายงานว่ามีนักพนันจากไทยข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปเล่นที่บ่อนกาสิโนแห่งนี้มากกว่า 6,000 คนในแต่ละวันและเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นคนในวันหยุด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีนักพนันจากไทยเพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้นที่ข้ามไปเล่นที่บ่อนกาสิโนดังกล่าวนี้

ส่วนบ่อนกาสิโน “สามเหลี่ยมคำ” ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้วในภาคเหนือของลาว (ตรงข้ามกับอำเภอ เชียงแสน จังหวัดเชียงราย) นั้นก็ได้รับอานิสงส์จากความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะผลจากการที่นักพนันจากไทยได้พากันหลั่งไหลข้ามฝั่งโขงไปเล่นที่บ่อนกาสิโนแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆนั้นทำให้กลุ่มนักธุรกิจจีนที่ลงทุนสร้างบ่อนกาสิโน “สามเหลี่ยมคำ” แห่งนี้ถึงกับได้ตั้งเป้าที่จะรองรับนักพนันจากไทยให้ได้ถึง 2 แสนคนภายในสิ้นปีนี้เลยทีเดียว

แต่สำหรับบ่อนกาสิโนในกัมพูชานั้นกลับดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งจากรายงานของกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของกัมพูชาเอง ก็ได้ระบุว่ารายได้ของรัฐบาลกัมพูชาที่ได้จากค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่จัดเก็บจากบ่อนกาสิโนที่มีอยู่ถึง 34 แห่งในทั่วประเทศนั้นได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อ เนื่องในตลอดช่วง 3 ปีมานี้ กล่าวคือในปี 2008 นั้นรัฐบาลกัมพูชามีรายได้จากบ่อนกาสิโนถึง 20 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ แต่รายได้ดังกล่าวก็ได้ลดลงเป็น 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2010 และก็ยังลดต่ำลงอีกในปี 2011 นี้

ทางด้านกลุ่ม NAGA World ซึ่งเป็นผู้ประกอบการบ่อนกาสิโนรายใหญ่ที่สุดและยังได้สิทธิ์ผูกขาดการดำเนินธุรกิจบ่อนกาสิโนแต่เพียงผู้เดียวในรัศมี 200 กิโลเมตรรอบกรุงพนมเปญจนถึงปี 2065 ด้วยนั้นก็แถลงยอมรับว่าได้ประสบกับปัญหารายได้ตกต่ำนับเป็นเวลากว่า 3 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2010 นั้น ก็ปรากฏว่ากลุ่ม NAGA World ต้องประสบกับการขาดทุนเป็นครั้งแรกคิดเป็นมูลค่าเกินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย

ส่วนในปี 2009 นั้น แม้ว่ากลุ่ม NAGA World จะมีผลกำไรถึง 25.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็ตาม แต่ก็เป็นผลกำไรที่ลดลงจากปี 2008 มากกว่า 36% ซึ่งก็เป็นผลทำให้รัฐบาลกัมพูชาได้รับผลตอบแทนจากกลุ่ม NAGA World เพียง 127,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนหรือไม่ถึง 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นในปีที่ผ่านมาและยังจะลดลงอีกในปีนี้ด้วย

แต่ที่ต้องประสบปัญหาขาดทุนยิ่งกว่ากลุ่ม NAGA World นั้น ก็คือบรรดาผู้ประกอบการบ่อนกาสิโนที่ปอยเปต ซึ่งมีบ่อนกาสิโนอยู่ถึง 14 แห่งที่เคยรองรับนักพนันจากไทยหลายพันคนในแต่ละวัน แต่ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ได้ประกาศกร้าว “ไม่คบ” รัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อเพื่อนรักที่นามว่า ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น จึงเป็นเสมือนคมดาบที่กลับไปทิ่มแทงตนเองด้วย เพราะการประกาศกร้าวเช่นว่านั้นมันก็ทำให้ผลประโยชน์ของ ฮุน เซน ที่ได้จากบ่อนกาสิโนนั้นมีอันต้องลดวูบลงไปด้วยนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อนักการเมืองไทยผู้ปราดเปรื่องในอบายมุขอย่าง ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ออกมาแฉเรื่องการลักลอบเปิดบ่อน ทั้งยังถูก เฉลิม อยู่บำรุง นำไปขยายผลและได้แสดงออกถึงความปราดเปรื่องกว่า ชูวิทย์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับบ่อน

เถื่อนด้วยนั้น จึงนับเป็นอานิสงส์ที่ส่งไปถึง ฮุน เซน ได้เป็นอย่างดี เพราะนักพนันทั้งหลายจากไทยต่างกำลังมุ่งหน้าไปที่บ่อนกาสิโนในกัมพูชาของ ฮุน เซน มากขึ้นทุกวันโดยไม่ต้องกังวลว่า ฮุน เซน จะประกาศกร้าว “ไม่คบ” รัฐบาลโคลนนิ่งของ ทักษิณ เพื่อนรักแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการที่ ฮุน เซน เป็นผู้นำรัฐบาลคนแรกของต่างประเทศที่ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีมาถึงรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความต้องการของ ฮุน เซน ได้เป็นอย่างดี และในทันทีที่ ฮุน เซน ได้แสดงท่าทีดังกล่าวนี้ก็ปรากฏว่ากลุ่ม INTERCITY จากเกาหลีใต้ พร้อมด้วยกลุ่ม HARRAH'S ยักษ์ใหญ่ในวงการกาสิโนของโลกจากสหรัฐอเมริกานั้นก็ได้ประกาศเดินหน้าแผน การลงทุนกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อก่อสร้างบ่อนกาสิโน รีสอร์ท และศูนย์บริการความบันเทิงอย่างครบครันที่เมืองแห่งนครวัด-นครธมที่เสียมเรียบ (เสียมราฐ) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักพนันทั้งจากไทย ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า และเกาหลีใต้นับจากปลายปี 2012

เป็นต้นไป โดยเมื่อปีที่แล้วก็ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 6 แสนคนที่เดินทางไปยังเมืองเสียมเรียบและในปี 2011 นี้ก็เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 8 แสนคนและถึง 1 ล้านคนในปี 2012 ตามลำดับ

ยิ่งไปกว่านั้น ฮุน เซน ยังได้มองไปที่นักพนันจากเวียดนามมากขึ้นด้วย ทั้งนี้โดยล่าสุดก็ปรากฏว่ากลุ่มนักธุรกิจที่มีความใกล้ชิดกับ ฮุน เซน อย่างมากนามว่า กิธ เที่ยง นั้นก็ได้ใช้เงินทุนไปมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อดำเนินการก่อสร้าง Titan King Casino เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยบ่อนกาสิโนแห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองบาเว็ตในจังหวัดสวายเรียงซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่ติดต่อกับเมืองฮาเตียน จังหวัดเกียนซางในภาคใต้ของเวียดนาม โดยทางการเวียดนาม

รายงานว่าในแต่ละวันมีนักพนันจากเวียดนามเดินทางมาเล่นที่บ่อนกาสิโนที่เมืองบาเว็ตของกัมพูชามากกว่า 6,000 คนภาคบริการและการท่องเที่ยวนับเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับกัมพูชาเป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคการ เกษตร โดยเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมานั้น ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะขัดแย้งกับไทยแต่ก็ยังปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่า 2.2 ล้านคนที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในกัมพูชา และในตลอดปี 2011 นี้ทางการ กัมพูชาก็คาดหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนที่จะเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ธุรกิจในภาคบริการและท่องเที่ยวมี

รายได้รวมเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและก็ดูเหมือนว่าคาดหมายดังกล่าวนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2011 นี้ก็ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปในกัมพูชาแล้วมากกว่า 1.38 ล้านคน

นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับไทยที่ดีขึ้นด้วยนั้น ก็ย่อมที่จะส่งผลดีมากขึ้นต่อการท่องเที่ยวของกัมพูชาในปีต่อๆไปอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลของ ฮุน เซน เองก็ได้ตั้งความหวังไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อปีหรือมากกว่า 3.2 ล้านคนในปี 2012 และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 5 ล้านคนในปี 2015 ได้จริงตามแผนการที่วางไว้นั้นก็ย่อมที่จะทำให้บ่อนกาสิโนในกัมพูชาได้รับอานิสงส์ด้วยนั่นเอง

ทางด้าน ฮุน เซน นั้นก็ได้ตั้งความหวังส่วนตัวเอาไว้ว่าด้วยอานิสงส์ดังกล่าวนี้ จะทำให้รัฐบาลของตนได้ค่าต๋งจากบ่อนกาสิโนเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปีเลยทีเดียว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ฮุน เซน ยังคงสงวนสิทธิ์ในการลงทุนพัฒนาเกาะกงให้เป็นเกาะแห่งกาสิโนและศูนย์แห่งความบันเทิงครบวงจรไว้ให้ ทักษิณ เพื่อนรักอยู่เหมือนเดิม!!!

ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
---------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น