วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555
"ฮุนเซนแฉมาร์คเจรจาลับน้ำมัน"
"ฮุนเซนแฉมาร์คเจรจาลับน้ำมัน"
13 กันยายน 2554 เวลา 20:17 น. |
ฮุนเซนแฉมาร์คส่งสุเทพมาพบ 3 ครั้ง เคยเจรจาลับน้ำมัน ประวิตรถือเอกสารคุยเตีย์บัญที่ตาเคมา
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่ข้อมูลหนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพ และเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่รายงานคำกล่าวของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เคยเจรจาลับเรื่องน้ำมัน โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหมของไทยเป็นผู้ถือเอกสารมาเจรจา
นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า หลังองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับการเจรจาลับ มีสมาชิกสภาของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง โจมตีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีการเจรจามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ยืนยันว่ามีการเปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม 2คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม แต่ยังไม่มีความเห็นชอบใดๆทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในการเจรจายอมรับว่า มีการแบ่งส่วนออกเป็น3 โซน ตรงกลางแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง 10-90 ต่อมาเอา20-80 ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา 80-20 ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อค ๆ แล้วจับฉลากเลือกแต่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นตามที่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหา แต่ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ขณะนั้น ไม่ได้เตรียมตัวหารือกับสุเทพ และรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อย่างใด
“นายสุเทพมากัมพูชาสามครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน มาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทย ที่กษิต ภิรมย์ เรียกผมว่าเป็นนักเลง ภายหลังนายสุเทพก็มากัมพูชาอีกพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหมแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำมัน วันที่ 27 มิถุนายน ภริยาผมทำอาหารเลี้ยงส่วนตัว คือทำแกงเลียง3 ให้เขารับประทาน หากแต่เรื่องที่แปลกคือนายสุเทพได้เอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อคน้ำมันในทะเลมาด้วยและได้แจ้งว่านายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขาให้มาเจรจาให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แต่ได้แจ้งกลับไปว่า ผมมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับ ฯพณฯได้”นายฮุนเซน กล่าว
ฮุน เซน กล่าวพาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์ และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้ และกล่าวต่อว่า“ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น
นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวอีกว่า “ตอนนี้ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่าเนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ผมก็จะแจ้งกลับไปที่อภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร?” แล้วกล่าวต่อว่า “เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัดผู้นำเอกสารมา คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตีย บัญ ลี ยงพัต และคำปูน ซท6 ได้เห็นเอกสารนี้”
----------
6 ชาติเปิดศึกชิงบ่อน้ำมันกัมพูชา
ก.ค. 10, 07, 08:38:58
7ก.ค.53
--------------------------------------------------------------------------------
ปตท.-ระยองเพียวร่วมตะลุมบอน
ยักษ์ใหญ่นานาชาติ รุมทึ้งบ่อแม่ทองดำ 2 พันล้าน บาร์เรลในกัมพูชา เสนอสารพัด ผลประโยชน์ล่อใจ ด้านนักวิชา การจวกปตท.สผ.ของไทยอืดเป็นเรือเกลือ ผู้บริหารขยับช้า หวั่นทำชาติเสียผลประโยชน์ โวยมัวแต่มองบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง ไม่สนบ่อน้ำมัน ใกล้บ้านที่ค่าขนส่งถูกกว่า ขณะ ที่ “ระยองเพียว” สร้างเซอร์ไพรส์เดินหน้าลุยร่วมลงทุนบริษัท น้ำมันเขมร “TCS ออยล์” สร้างคลังน้ำมันนำร่อง เล็งมีส่วนร่วมต่อไปในอนาคต
ความคืบหน้าหลังเกิดกระแสข่าวการค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศกัมพูชาโดยกลุ่มบริษัทน้ำมันเชฟรอน ในเขตนอกชายฝั่งเมืองสีหนุวิลล์ในเขตทะเลอ่าวไทยของกัมพูชา จำนวน 6 บ่อ ที่คาดว่าจะมีน้ำ มันมากกว่า 2,000 ล้านบาร์ เรล โดยในปีนี้จะมีการเจาะทดสอบนำร่องก่อน 4 บ่อ และ จะมีการสำรวจเพิ่มให้ทันภายในปีนี้อีกกว่า 10 บ่อ ซึ่งบ่อ น้ำมันที่พบในประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ มีหลายประเทศให้ความสนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ รัสเซีย และอีกหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงบริษัทน้ำมันในประเทศไทย ที่เริ่มมีท่าทีสนใจในการเข้าไป มี ส่วนร่วมในการค้นพบบ่อน้ำมันในครั้งนี้
แหล่งข่าวจากบริษัทน้ำมันรายหนึ่งในประเทศไทยเปิดเผยว่า แม้ว่ากระแสข่าวการค้นพบน้ำมันของเชฟรอน จะยังไม่ได้รับการยืนยัน ว่าในประเทศกัมพูชาจะมีน้ำมันดิบมากถึง 2,000 ล้านบารเรล แต่ในการประเมินจากบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่รายหนึ่งจากประเทศไทย ที่เคยสำรวจพบปริมาณน้ำมันในอ่าวไทย คาดการณ์ภถึงปริมาณฯมันดิบในพื้นที่อ่าวไทยในน่านน้ำของประเทศไทย กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย พบว่า ตัวเลขคาดการณ์ที่น้อยที่สุดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาร์เรล แต่ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในเขตแดนของประเทศกัมพูชา
อย่างไรก็ตามบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายรายในเอเชียและตะวันตก กำลังมีความพยายามที่จะเข้าหาบุคคลระดับสูงในรัฐบาลกัมพูชา เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมกับบ่อน้ำมันที่พบในครั้งนี้ เท่าที่ติดตามในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทมีศักยภาพที่น่าจะมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจการน้ำมันของกัมพูชา มีอยู่ประมาณ 5-6 บริษัท เช่น เชฟรอของสหรัฐอเมริกาที่เป็นสำรวจพบบ. ซีนุก SPC จากประเทศสิงคโปร์ จาก Resourceful Petroleum ในเครือปิโตนาสประเทศ มาเลเซีย และบริษัท Cooper Energy จากประเทศออสเตรเลีย กลุ่มบริษัท โทเทิ่ล ประเทศฝรั่งเศส รวมถึงล่าสุดบริษัทน้ำมันจากประเทศรัสเซีย และปตท.สผ.จากประเทศไทย
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศ เกาหลี แหล่งข่าวจากประเทศกัมพูชาเปิดเผยผ่านสำนักข่าวแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ว่า ล่าสุดทางรัฐบาลกัมพูชา มีนโยบายที่จะสร้างมาตรฐานในธุรกิจน้ำมันให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ก่อนที่จะเข้าสู่ธุรกิจน้ำมันเต็มรูปแบบในปี 2553 ที่จะมีการขุดเจาะเอาน้ำมันดิบจากแหล่งน้ำมันที่พบโดยเชฟรอน ขึ้นมาทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ
ในขณะที่ปัจจุบันธุรกิจน้ำมันในกัมพูชายังไม่ได้มีการจัดระเบียบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลำเลียงน้ำมันเถื่อนตามแนวชายแดน ที่ยังไม่มีมาตรฐาน และไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง
ดังนั้นรัฐบาลกัมพูชาจึงมีนโยบายที่จะจัดระเบียบธุรกิจน้ำมันที่มีอยู่เพื่อรองรับกับทิศทางการเจริญเติบโตของธุรกิจน้ำมันในกัมพูชา โดยจะลงทุนสร้างคลังเก็บน้ำมัน ที่จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับธุรกิจน้ำมันในกัมพูชาแหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้จากกระแสข่าวดังกล่าว ็สยามธุรกิจิ ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวในกัมพูชา ถึงบริษัทปิโตเลียมจากประเทศไทย ขนาดเล็กรายหนึ่ง ที่จะเข้าไปร่วมธุรกิจและจัดระเบียบน้ำมันในประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ โดยเป็นหนึ่งในแผนการเข้าไปมีส่วนร่วมกับบ่อน้ำมันมูลค่ามหาศาลค้นพบโดยเชฟรอน และถือเป็นการนำร่องของบริษัทน้ำมันไทย ที่จะเข้าไปมีส่วนกับธุรกิจน้ำมันในกัมพูชา ที่คาดว่าจะมีมูลค่ามหาศาลในอนาคต
สยามธุรกิจ สอบถามถึงกระแสข่าวบริษัทน้ำมันไทยการเข้าไปลงทุนสร้างคลังเก็บน้ำมัน ร่วมกับประเทศกัมพูชา ไปยัง ็นายศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ระยองเพียวรีไฟร์เออร์(PURE) ที่มีกระแสข่าวว่ามีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนธุรกิจน้ำมันในกัมพูชา เช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก โดยนายศุภพงศ์ ยอมรับว่าบริษัทมีความสนใจในอนาคตด้านธุรกิจน้ำมันของกัมพูชา และเตรียมที่จะเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทน้ำมันในกัมพูชาเกี่ยวกับการทำธุรกิจคลังเก็บน้ำมันจริง
นายศุภพงศ์ให้เหตุผลว่า ไม่อยากจะให้มองว่า PURE จะเข้าไปมีส่วนมในธุรกิจบ่อน้ำมันในกัมพูชา ที่มีการค้นพบ เพราะ PURE ยังมีศักยภาพน้อยกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ หรือแม้แต่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศ หลายๆ บริษัท
เรื่องไปแชร์ตลาดในการขุดเจาะหรือกลั่น เราคงไม่คิดไปถึงขนาดนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า บ่อน้ำมันที่พบกันในกัมพูชามีมาร์จิ้นเท่าไหร่ และ PURE มองว่า เราจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้มากน้อยแค่ไหนตามศักยภาพ ซึ่งเรื่องนี้มีสิทธิคิดและวางแผนกันได้ ธุรกิจน้ำมันไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการขุดเจาะ หรือการกลั่น แต่มองไปลึกๆ ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายขั้นตอน ซึ่งในธุรกิจที่เกี่ยวข้องนี้มาร์จิ้นก็มีมูลค่ามหาศาล เราคิดไปในอนาคตแล้วก็มองขอเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งหากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะขยับเข้าไปในกัมพูชา จะเข้าไปกันมาก เราก็ไม่คิดจะไปแข่งขัน เพราะโดยศักยภาพแล้ว PURE ยังมีขนาดที่เล็กกว่าบริษัทเหล่านั้นมาก แต่หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมก็จะเป็นประโยชน์ต่อ PURE ในอนาคต
ส่วนเรื่องของการเข้าไปลงทุนร่วมธุรกิจกับบริษัทน้ำมันในการสร้างคลังน้ำมันในประเทศกัมพูชา ก็มีการพูดคุยกันแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ธุรกิจน้ำมันในกัมพูชายังอยู่ในรูปแบบของธุรกิจใต้ดิน คือขนถ่ายกันแบบหลีกเลี่ยงภาษี PURE ก็มีข้อเสนอที่จะเข้าไปจัดระบบ คือทำให้เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ทางกัมพูชาเองก็สนใจ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลเขาอยู่แล้ว เฉพาะในส่วนนี้ก็มีมูลค่ามากกว่า 2,000-5,000 ล้านบาท
การเข้าไปร่วมทุนในครั้งนี้ PURE จะเข้าไปจัดการในเรื่องของการ MANAGEMENT และเรื่องของ FINANCE คาดว่าจะมีต้นทุนอยู่ที่ 10-20 ล้านบาท โดยจะให้ทาง บ.TCS ออยล์ ของกัมพูชาเป็นผู้ดำเนินการ PURE จะอยู่ในลักษณะของการซัพพอร์ต โดยมีเป้าหมายของรายได้มาจากการแบ่งกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ต่อจากนั้นจะเป็นรายได้ที่ไม่จำกัด และไม่มีต้นทุน
โครงการดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนในอีกราว 1-2 เดือน ต่อจากนั้นจะเป็นการวางแผนสำหรับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงกลั่น หรืออะไรก็ตามที่ทางกัมพูชามีความสนใจ
เพราะฉะนั้นการเข้าไปร่วมธุรกิจน้ำมันในกัมพูชาครั้งนี้ถือเป็นการนำร่อง ในขณะที่ทางกัมพูชาเองกำลังจะเจอน้ำมันมหาศาล ซึ่งหากประสบความสำเร็จ มีความโปร่งใสและเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจต่อจากนี้ในอนาคต PURE อาจจะมีส่วนในธุรกิจน้ำมันของกัมพูชา
ส่วนที่มองกันว่า PURE ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก หากเปรียบเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ที่ต่างก็ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกับธุรกิจน้ำมันในกัมพูชา ตรงนี้คิดว่า PURE เองก็คงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป สร้างความไว้ใจทำธุรกิจที่โปร่งใส และก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแข่งขันกับบริษัทเหล่านั้น เพียงแต่ในส่วนที่ขาดเราก็เติมให้เต็ม ประเทศกัมพูชาปัจจุบันมีบริษัทน้ำมันอยู่ 14 บริษัท ซึ่งไม่เพียงพอ ความที่ PURE มีขนาดเล็กนั้นเองทำให้เรามีความได้เปรียบในแง่ของต้นทุน เทคโนโลยีอีโคโนมิค ที่ทำให้ต้นทุนของเราต่ำ และก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางกัมพูชาให้ความสนใจ
ยกตัวอย่างบริษัทน้ำมันในจีน ที่มีต้นทุนสูงกว่าเราถึง 5 เท่า ในธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งหากธุรกิจคลังน้ำมันในกัมพูชาที่ถือเป็นการทดสอบเป็นไปด้วยดี นั่นหมายถึงโอกาสที่ดีในวันข้างหน้าที่ PURE จะได้รับ จากธุรกิจน้ำมันในประเทศกัมพูชานายศุภพงศ์กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากบมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) กล่าวกับ ็สยามธุรกิจิ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการเข้าไปทำธูรกิน้ำมันในประเทศกัมพูชาว่า ็ล่าสุดทางผู้บริหารของปตท.สผ.เองก็มีการหารือในเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งมาจากความเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จะต้องดำเนินการในหลายๆ ขั้นตอน คงจะรีบด่วนสรุปไม่ได้
ต่อข้อถามที่ว่า การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของปตท.สผ.จะทันกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากหลายประเทศหรือไม่ แหล่งข่าวกล่าวว่า จริงๆ แล้วเรามีขั้นตอนในการดำเนินการของเรา มีขั้นตอนแต่ละขั้นตอนนั้นคงต้องมีความละเอียดรอบคอบ อันดับแรกเราคงประเมินภาพรวมของธุรกิจน้ำมันในกัมพูชาก่อน ก่อนที่จะเข้าไปดดำเนินการอะไรต่อไปิ
ขณะที่แหล่งข่าวนักวิชาการด้านพลังงานรายหนึ่งกล่าวถึงบริษัทปิโตเลียมไทย ที่จะเข้าไปร่วมธุรกิจน้ำมันในประเทศกัมพูชาว่า ถ้าจะมองในด้านศักยภาพแล้วบริษัทน้ำมันรายใหญ่ในประเทศไทยอย่างปตท.สผ.น่าจะมีโอกาส แต่ความที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้เกิดจุดบอดในเรื่องของการขยับ ปตท.สผ.ขยับตัวค่อนข้างช้า ขณะที่บริษทชั้นน้ำของสหรัฐ,รัสเซีย,ออสเตรเลีย,ฝรั่งเศส หรือแม้แต่มาเลเซียและสิงคโปร์ขยับเข้าไปก่อนหน้านี้แล้ว
เท่าที่ทราบจากแหล่งข่าวเวลานี้ผู้บริหารปตท.สผ.ยังมะงุ้มมะงาหราสาละวนอยู่กับแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง ที่จะต้องมีต้นทนค่าขนส่ง แต่บ่อน้ำมันใกล้บ้านกลับไม่ค่อยให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่ปตท.สผ.เป็นบริษัทของปิโตเลียมระดับโลกและเป็นเสมือนตัวแทนของประเทศไทย แต่ผู้บริหารกลับให้ความสนใจเรื่องของบ่อน้ำมันในประเทศกัมพูชาน้อยเกินไป ทำให้เสียโอกาส
ขณะที่บริษัทที่เวลานี้ทางกัมพูชาให้ความสนใจ น่าจะมีชื่อของเชฟรอน ซีนุก และบริษัทน้ำมันจากรัสเศียและสิงคโปร์ เนื่องจากมีการเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินกู้ ผลตอบแทนแบบให้เปล่า หรือแม้แต่สิทธิทางการค้าแหล่งข่าวกล่าว
ที่มา - สยามธุรกิจ
----------------
ระยองเพียวริฟายเออร์, บมจ.
19 ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า (อาคาร 3 ชั้น 14) ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร
โรงงาน : 7/3 ถนนปกรณ์สงเคราะห์ราษฎร์ ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง 21150
กรุงเทพมหานคร
10900
Thailand
02-937-9384-8
02-937-9389
-----
บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯที่เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2538 ดำเนินการโดยนักธุรกิจคนไทยที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และการร่วมทุนกับบริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด เพื่อดำเนินการแปรสภาพ คอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของ บริษัท อะโรเมติกส์ จำกัด (มหาชน) (ATC) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่มีคุณภาพ อันได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์เพื่อค้าปลีกและค้าส่ง
บริษัทฯดำเนินธุรกิจจัดหา กลั่น ค้าส่งน้ำมัน เคมีภัณฑ์ และค้าปลีก โดยเป็นผู้ผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์ เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯยังเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันเบนซิน โดยการจัดหาจากโรงกลั่นอื่น ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯมีความหลากหลาย และสามารถครอบคลุมลูกค้าทุกประเภท
นอกจากนี้บริษัทฯบริหารคลังน้ำมัน 4 แห่ง ได้แก่ คลังน้ำมันระยอง คลังน้ำมันนครสวรรค์ คลังน้ำมันโคราช และคลังน้ำมันจุกเสม็ด
บริษัทฯมีการประกอบธุรกิจผ่านบริษัทย่อย และบริษัทร่วมดังนี้
บริษัทย่อย
1.) บริษัท โยธินปิโตรเลียม จำกัด (YTC)
เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 99.99 มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ประกอบธุรกิจค้าปลีก จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เบนซินออกเทน 91 และเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 95 ผ่านสถานีบริการน้ำมัน “เพียว”
2.) บริษัท อาร์พีซีเอเซีย จำกัด (RAC)
RAC จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยบริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 99.99 วัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการค้าและบริการ นำเข้า โอน จัดประเภท จัดเก็บ ผลิต ผสม บรรจุ จัดส่ง ปิโตรเลียมและเคมีภัฑณฑ์ระหว่างประเทศตามนโยบายส่งเสริมการค้าน้ำมันสากล (Oil Traders) ของรัฐบาล
3.) VTN-P Petrochemical Joint Venture Co., Ltd. (VTN-P)
VTN-P เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 60 ประกอบธุรกิจโรงงานปิโตรเลียมปิโตรเคมีขนาดเล็กโดยมีกำลังการผลิต 2,500 บาร์เรลต่อวัน ตั้งอยู่ติดแม่น้ำโขง เมืองกันเธอ (Can Tho) ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม
4.) บริษัท เอสซีที ปิโตรเลียม จำกัด (SCT)
เดิม SCT เป็นบริษัทร่วมที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 30 ประกอบธุรกิจค้าส่งน้ำมันหรือตัวแทนจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอิสระ (Jobber) ให้บริการซื้อขายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดกับผู้ค้ารายใหญ่ และรายย่อยทั่วประเทศ อาทิ น้ำมันดีเซล เบนซิน 91 เบนซิน 95 และน้ำมันเตา โดย SCT มีบริษัทย่อย และบริษัทร่วมดังนี้
1. บริษัท จตุรทิศขนส่ง จำกัด ประเภทธุรกิจขนส่งน้ำมัน
2. บริษัท มิตรสัมพันธ์ ปิโตรเลียม จำกัด ประเภทธุรกิจ ค้าส่งน้ำมัน
3. บริษัท เมโทร ปิโตรเลียม จำกัด ประเภทธุรกิจ ค้าส่งน้ำมัน
4. บริษัท อิสานรุ่งเรือง ปิโตรเลียม จำกัด ประเภทธุรกิจค้าส่งน้ำมัน
5. บริษัท บูรพารุ่งโรจน์ ปิโตรเลียม จำกัด ประเภทธุรกิจ ค้าส่งน้ำมัน
6. บริษัท เบญจปิโตรเลียม จำกัด ประเภทธุรกิจ ค้าส่งน้ำมัน
7. บริษัท จตุจักร ออยล์ จำกัด ประเภทธุรกิจ ค้าส่งน้ำมัน
ณ วันที่ 29/11/05 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 424.04 ล้านบาท ทุนที่เรียกชำระแล้ว 415.55 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก
1. บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด จำนวนหุ้นที่ถือ 126,634,900 คิดเป็นร้อยละ 30.47
2.นาย ธวัช อึ้งสุประเสริฐ จำนวนหุ้นที่ถือ 39,350,100 คิดเป็นร้อยละ 9.47
3.นาย สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล จำนวนหุ้นที่ถือ 22,641,600 คิดเป็นร้อยละ 5.45
4.นาง มัทนา อึ้งสุประเสริฐ จำนวนหุ้นที่ถือ 15,999,900 คิดเป็นร้อยละ 3.85
5. น.ส. อธิฐาน ชาญเมธี จำนวนหุ้นที่ถือ 14,275,500 คิดเป็นร้อยละ 3.44
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่บริษัทฯได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน ความจำเป็น และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต
------------------
จำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด:2,920%การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น:94.38% ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวนหุ้นร้อยละ
บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด158,293,62529.87%นาย ธวัช อึ้งสุประเสริฐ20,035,3753.78%นาย ปิติ ธรรมมงคล19,121,5253.61%น.ส. มณฑนา เจนธรรมนุกูล16,628,8003.14%นาย เกียรติ สิทธีอมร16,522,8003.12%นาง มัทนา อึ้งสุประเสริฐ13,999,8752.64%น.ส. ปัญญดา พลอยประพัฒน์11,500,0002.17%นาย สัจจา เจนธรรมนุกูล9,312,3751.76%นาย ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์8,000,0001.51%คณะบุคคล ซื่อสกุล โดยนางปริญญา ขันเจริญสุข6,666,2501.26%นาย เมธา รังสิยาวรานนท์6,636,9001.25%น.ส. พีระขวัญ ขันเจริญสุข5,289,5751.00%นาย โสภณ มิตรพันธ์พานิชย์5,050,0000.95%น.ส. พิมอุมา เจนธรรมนุกูล4,850,0000.92%นาย กิตติ ภัทรเลาหะ4,592,2000.87%นาย ณพล ชลวณิช4,539,7010.86%นาย ณพน เจนธรรมนุกูล4,500,0000.85%คณะบุคคล ปิยะพน โดย นางปิยะนุช เจนธรรมนุกูล4,375,0000.83%นาง สาริศา สูตะบุตร4,052,0000.76%นาง ดวงแก้ว ตระกูลพิพัฒน์4,000,0000.75%น.ส. นลินรัตน์ ศุภภัทรานนท์3,915,0000.74%นาย วงศ์ทิวัฒิ ขันเจริญสุข3,850,0000.73%บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด3,540,8560.67%น.ส. บุญพิสุทธิ์ โชคสิทธิกุล3,536,4000.67%นาง วันดี ธรรมชัย3,250,0000.61%นาย สิทธิพล คงพิชิตโชค3,139,0000.59%นาย สุรศักดิ์ สุขเจริญไกรศรี2,800,0000.53%นาย ยรรยง ภัทรเลาหะ2,711,2000.51%นาย อมรวัฒน์ ถิรกฤตพร2,700,0000.51%
---------
กรรมการตำแหน่ง
นาย สัจจา เจนธรรมนุกูลประธานกรรมการนาย ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ประธานคณะกรรมการบริหารนาย สุวินัย สุวรรณหิรัญกุลกรรมการผู้จัดการนาย สุมิตร ชาญเมธี กรรมการ นาย ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์กรรมการนาย สุทัศน์ ขันเจริญสุขกรรมการนาย ธวัช อึ้งสุประเสริฐกรรมการ นาย วิชิต แย้มบุญเรืองกรรมการอิสระ กรรมการอิสระ นาย พิพิธ พิชัยศรทัตกรรมการอิสระ นาย วิชิต แย้มบุญเรืองประธานกรรมการตรวจสอบ นาย อานุภาพ จามิกรณ์กรรมการตรวจสอบนาย พิพิธ พิชัยศรทัต กรรมการตรวจสอบ
-----
มร.บู 'สุทัศน์ ขันเจริญสุข' ประธาน'ไทยวีไอ' สมาชิก 34,000 คน
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%99.html
http://bit.ly/nMXnDV
---------------
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 01:00
มร.บู 'สุทัศน์ ขันเจริญสุข' ประธาน'ไทยวีไอ' สมาชิก 34,000 คน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สุทัศน์ ขันเจริญสุข แวลูอินเวสเตอร์
ภาพประกอบข่าว
เปิดตัว 'สุทัศน์ ขันเจริญสุข' ประธานรุ่นที่ 4 www.thaivi.com ผันตัวเองจากอาชีพพ่อค้าอุปกรณ์ในโรงงาน สู่ วีไอ พอร์ตหุ้นหลัก 'ร้อยล้าน'
เอ่ยชื่อ สุทัศน์ ขันเจริญสุข แวลูอินเวสเตอร์ (วีไอ) หลายคนอาจยังไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า "Mr.BOO" หรือ "พี่บู" แล้ว พี่น้องชาว "ไทยวีไอ" ต่างก็ต้องร้องอ๋อ! ปัจจุบันสุทัศน์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานบอร์ด "รุ่นที่ 4" www.thaivi.com เว็บไซต์ที่มีจำนวนสมาชิกทั่วประเทศมากถึง 34,000 คน
นอกจากนี้ สุทัศน์ยังเป็นกรรมการ บมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) ในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ RPC "ทางอ้อม" จำนวน 158.29 ล้านหุ้น สัดส่วน 29.87% ผ่าน บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด ซึ่งเขาและภรรยาถือหุ้นใหญ่
แม้ตัวเขาจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มีพอร์ตใหญ่ระดับ "ร้อยล้านบาท" และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่สุทัศน์ก็เป็นประเภท Low Profile, High Profit แทบไม่มีใครเคยเห็นชื่อเขา ติดโผอยู่ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทต่างๆ โดยเขาจะลงทุนในชื่อของภรรยา ปริญญา ขันเจริญสุข และลงทุนผ่านบริษัทนอกตลาด
อย่างไรก็ตาม สไตล์การลงทุนของสุทัศน์ ก็เลือกเดินตามแนวทางแวลูอินเวอร์เตอร์ขนานแท้ หุ้นหลายๆ ตัวจากทั้งหมด 35 ตัวในพอร์ต ครอบครองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี บางตัวถือนานเป็น 10 ปี ซึ่งเขาบอกว่าหุ้นเหล่านี้ให้ผลตอบแทน "คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม"
โดยเฉพาะหุ้น เอ.เจ.พลาสท์ (AJ) ถือในชื่อภรรยาจำนวน 4,544,944 หุ้น สัดส่วน 1.15% หุ้น บิซิเนส ออนไลน์ (BOL) ถือจำนวน 22,680,000 หุ้น คิดเป็น 2.93% หุ้น เอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) ถือ 1,037,768 หุ้น สัดส่วน 0.99% หุ้น ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) หรือ CHUO ถืออยู่ 146,100 หุ้น สัดส่วน 1.30% และหุ้น ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) ถือผ่านภรรยา และทายาทอีกกว่า 15.80 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.99%
พอร์ตลงทุนที่เห็นแท้จริงยังเป็นเพียงแค่บางส่วน ความมั่งคั่งของสุทัศน์ แฝงอยู่ใน บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด (PICO) บริษัทแห่งนี้ขายเครื่องมือในกระบวนการผลิตในโรงงาน มีทุนจดทะเบียนเพียง 24.5 ล้านบาท แต่มีรายได้จากการขายสินค้าเฉลี่ยปีละ 400-500 ล้านบาท ปัจจุบัน เพทโทร-อินสตูรเมนท์ ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ RPC จำนวน 158.29 ล้านหุ้น สัดส่วน 29.87% มูลค่ากว่า 570 ล้านบาท โดยสุทัศน์และภรรยาถือหุ้นในบริษัทแห่งนี้ประมาณ 80%
นอกจากนี้ บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ ยังมีการกระจายความเสี่ยงโดยนำผลกำไรของบริษัทในแต่ละปีที่เป็น "เงินเย็น" ไปต่อยอดลงทุนในหุ้นบริษัทต่างๆ เน้นกิจการที่สร้างผลตอบแทนให้อย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันพอร์ตลงทุนของ PICO มีมูลค่าประมาณ 400-500 ล้านบาท ลงทุนในหุ้น ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หุ้น สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (SMT) หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) รวมถึงหุ้น ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) เมื่อได้รับเงินปันผลในแต่ละปี สุทัศน์ก็จะนำเงินกลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมๆ เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้นทุกปี ตามหลักการลงทุนแบบ "ต้นทบดอก"
"ผลตอบแทนมหาศาล ที่จริงไม่จำเป็นต้องมาจากบริษัทจดทะเบียนเสมอไป บริษัทนอกตลาดหุ้นก็สามารถสร้างเงินให้คุณได้เช่นกัน หากรู้จักจัดสรรที่เหมาะสม" เขากล่าว
ย้อนประวัติประธานกลุ่มไทยวีไอ รุ่นที่ 4 ปัจจุบันเขามีอายุ 54 ปี ครอบครัวเติบโตมาจากอาชีพพ่อค้าขายเสื้อผ้าอุตสาหกรรมเล็กๆ ที่พ่อและแม่ยึดเป็นอาชีพหลัก เพื่อส่งลูกๆ เรียนหนังสือ ปัจจุบันพ่อเสียชีวิตไปแล้วเหลือเพียงแม่ชราวัย 81 ปี ที่ยังอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน
สุทัศน์เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สายศิลปภาษา จากนั้นปี 2519 ก็จบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในปี 2528 ก็คว้าปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขามีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตอายุ 24 ปี (พีระขวัญ ขันเจริญสุข) เรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนลูกชายคนสุดท้องอายุ 22 ปี (วงศ์ทิวัฒิ ขันเจริญสุข) เรียนจบปริญญาตรี คณะการตลาด ตอนนี้กำลังไปศึกษาต่อด้านดีไซน์ ที่ประเทศอังกฤษ
สุทัศน์ ย้อนรอยถึงจุดเริ่มต้นเข้าสู่ตลาดหุ้นให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า หลังเรียนจบ MBA ก็รู้สึก “ร้อนวิชา” จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อไปร่วมทุนกับพี่สาวและพี่เขย เปิดบริษัทเกี่ยวกับการนำเข้าเพชรจากต่างประเทศ ตอนนั้นปี 2530 ลงทุนไปประมาณ 250,000 บาท
พอทำงานไปได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกว่าแนวทางการทำงานไปด้วยกันไม่ได้ ตัวเองเป็นประเภทนักบริหารจ๋า แต่พี่สาวเป็นประเภทศิลปินจัด เพราะเขาจบมหาวิทยาลัยศิลปากร ดังนั้นในปี 2532 จึงตัดสินใจถอนหุ้นออกมาทั้งหมดได้เงินคืนมาประมาณ 1.5 ล้านบาท
"ผมตัดสินใจนำเงินก้อนนั้นไปซื้อหุ้น เพทโท-อินสตรูเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวภรรยา ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือในการตรวจวัดในโรงงาน ตอนนั้นลงทุนไปราวๆ 30% สิ่งที่ได้คืนมาในแต่ละปี คือ "เงินปันผล" ถือว่าคุ้มค่ามาก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเห็นว่า เราควรแบ่งเงินไปซื้อหุ้นดีๆ สักตัวในตลาดหุ้น เพื่อรับส่วนต่างจากการลงทุนทั้งในแง่ของเงินปันผล และราคาหุ้น"
หลังจากคิดว่าตัวเองเข้าใจธุรกิจมาพอประมาณ เพราะเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าเพชรมาแล้ว แถมยังเรียนจบปริญญาโทเอ็มบีเอ ก็เลยอยากใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ จึงตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น
"ผมก้าวขาเข้าตลาดหุ้นครั้งแรกตอนอายุ 30 ปี เงินก้อนแรกน่าจะแค่หลักหมื่นบาท จำไม่ได้ว่าซื้อตัวไหนไปบ้าง แต่น่าจะมีในพอร์ต 5-10 ตัว จำได้เพียงว่าตอนนั้น SET Index อยู่ราวๆ 300 จุด ช่วงนั้นเน้น “เดย์เทรด” ล้วนๆ เพราะเล่นไม่เป็น แต่ไม่เคยกลัว แม้จะเคยขาดทุนเป็นล้านๆ"
ลงทุนปีแรกๆ มิสเตอร์บู ยอมรับว่าขาดทุนหนักมาก เพราะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง และตัวเองไม่ยอมทำบัญชีรายเดือน รายปี มารู้ตัวอีกทีพอร์ตก็ติดลบแล้ว อีกอย่างด้วยอายุขนาดนั้น เมื่อนำตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องค้า อารมณ์ ความคึกคะนอง บวกกับความรู้ไม่ถ่องแท้ ทำให้ขาดทุนมากกว่ากำไร
แม้จะช้ำใจอย่างหนัก แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดขายหุ้น แช่มันไว้เฉยๆ เล่นแบบนั้นในช่วงปี 2530-2540 แต่มูลค่าการลงทุนไม่มากเท่าไร ช่วงนั้นจำได้ว่าบริษัทที่สร้างผลตอบแทนให้มากที่สุด ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่เป็นบริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ กิจการแห่งนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ (เร็ว) จนน่าตกใจ ตอนนั้นคิดในใจว่า “บริษัทที่ดีไม่จำเป็นต้องอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เสมอไป”
“ผมเคยเจ็บปวดแสนสาหัสจากหุ้นตัวหนึ่ง ขอไม่เอ่ยชื่อ (พูดแล้วเจ็บใจ) โบรกเกอร์เชียร์ให้ซื้อบอกว่า เอาหัวเป็นประกัน..หุ้นไปแน่ ผมก็เชื่อเขานะ สุดท้ายกินแห้วตามระเบียบ บทเรียนครั้งนั้นสอนให้รู้ว่าในตลาดหุ้นเชื่อใครไม่ได้สักคน”
สำหรับการลงทุนที่ทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมหาศาลจากเงินก้อนเล็กๆ กลายเป็นหลักร้อยล้านบาท ล้วนมาจากเพทโทร-อินสตรูเมนท์ เขากล่าวว่า จุดเริ่มต้นความร่ำรวยเกิดขึ้นที่นี่ ปีๆ หนึ่งได้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10-15% อย่างต่อเนื่อง บริษัทแห่งนี้ไม่ได้ขายเพียงเครื่องมือในการตรวจวัดในโรงงานเท่านั้น แต่ยังมีพอร์ตลงทุนที่ทรงพลัง และพอร์ตลงทุนก็เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
หุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้ เพทโท-อินสตรูเมนท์ อันดับหนึ่ง คือ หุ้นระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) เพราะซื้อตั้งแต่บริษัทก่อตั้งใหม่ๆ ที่เหลือก็เป็นหุ้น ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หุ้น สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (SMT) และหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ให้ผลตอบแทนที่ “คุ้มค่ามากๆ”
สำหรับบุคคลต้นแบบในการลงทุน สุทัศน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีบุคคลต้นแบบในการลงทุน เพราะคนเรามีลักษณะนิสัยไม่เหมือนกัน บางคนก็นำบทเรียนจากการทำธุรกิจมาลงทุน บ้างก็นำประสบการณ์ในอดีตมาเป็นครูสอนใจ แต่ส่วนตัวจะใช้หลักความเชื่อ และข้อมูลที่มีทั้งหมดมาประกอบการลงทุนต่างๆ มากกว่า
เรื่องราวของ สุทัศน์ ขันเจริญสุข ประธานกลุ่มไทยวีไอ ยังไม่จบ! สัปดาห์หน้าจะมาสอนวิธีจับปลา ทฤษฎีการลงทุนที่ไม่ซ้ำใคร บอกได้คำเดียวว่า “ไม่ธรรมดา”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น