วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โรงแรมขึงป้าย ประท้วงนายกฯ


โรงแรมขึงป้าย ประท้วง แขกหนีบ้านมาร์คติดทั่วซอยวันนี้ นายกยันไม่ย้าย ไปอยู่บ้านพิษฯ รับขวัญแน่นคุก 'นร.'เหยื่อพรก.12พ.ย.53

'โรงแรมยูโร'ยังไร้เงาลูกค้า

ส่วนกรณีนายอนันต์ หะยิมะสา ผู้จัดการโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ซอยสุขุมวิท 31 ตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านพักนายกรัฐมนตรีออกมาวิงวอนให้ช่วยเหลือ เพราะนักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้าพักมาหลายเดือนแล้ว กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีด่านทหาร-ตำรวจพร้อมอาวุธสงครามครบมือเฝ้าอารักขาบ้านนายกฯ เต็มไปหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดบริเวณหน้าบ้านนายกฯ และถนนทุกสายที่เชื่อมถึงบ้านนายกฯ นั้น ยังคงมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร คุมเข้มตลอดทั้งวันเหมือนเช่นเดิม โดยเฉพาะบริเวณประตูทางเข้าหน้าบ้านนายกฯ ยังคงมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนถืออาวุธปืนทาโวร์อยู่เช่นเดิม ส่วนบรรยากาศภายในโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ยังคงเงียบเหงา ไม่มีนักท่องเที่ยวติดต่อเข้าพักเช่นกัน

-คนแห่ยื่นมือช่วยโรงแรม

นายอนันต์กล่าวว่า ภายหลังจากที่ข่าวสดได้มีการเสนอข่าวความเดือดร้อนของโรงแรมยูโรฯไปแล้วนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดหรือหน่วยงานใด หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่รักษาความสงบอยู่หน้าบ้านนายกฯ ติดต่อประสานงานยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว มีเพียงแต่พี่น้องประชาชนโทร.มาให้กำลังใจ ซึ่งมีอยู่หนึ่งรายยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือ โดยการสอบถามเรื่องของราคาค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่พัก และจะนำเสนอเรื่องราวความเดือดร้อนผ่านหนังสือนิวส์สคริปญี่ปุ่น เพื่อเชิญชวนคนญี่ปุ่นเข้ามาพัก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น

นายอนันต์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่งติดต่อเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ ซึ่งตนก็ตอบรับไปแล้ว ทั้งนี้ หากสื่อต่างๆ ช่วยกันนำเสนอข่าวความเดือดร้อนดังกล่าวเชื่อว่านายกฯ อภิสิทธิ์อาจจะยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือในเร็วๆ นี้ ส่วนการช่วยเหลือที่ผ่านมานั้น ทั้งเรื่องการผ่อนผันการชำระค่าไฟฟ้าน้ำประปา หรือการปล่อยให้กู้เงินเอส เอ็มอี ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ช่วยเหลือที่ต้นเหตุ เพราะต้นเหตุคือนักท่องเที่ยวกลัวมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธสงครามหน้าบ้านนายกฯ

-ไม่ได้ท้าทายแต่เดือดร้อนจริงๆ

"ที่ผ่านมาโรงแรมของเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักเต็มทุกวัน กระทั่งช่วงที่มีเหตุการณ์การชุมนุม นักท่องเที่ยวก็เริ่มที่จะหาย โดยเฉพาะช่วงที่มีการชุมนุมหน้าบ้านนายกฯ และหลังจากเกิดเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โรงแรมของเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 2-10 ห้องเท่านั้น จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นแม้แต่น้อย ตอนนี้เราเดือดร้อนมาก เราไม่ได้ต้องการไปต่อสู้ หรือไปท้าทาย กดดันนายกฯ เพียงแต่เราวิงวอนหรือขอร้องนายกฯ ช่วยยื่นมือเข้ามา ให้การช่วยเหลือเราโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นเราคงอยู่ไม่ได้นาน" นายอนันต์กล่าว

ผู้จัดการโรงแรมยูโรฯ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเราเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรม เพื่อไปเสนอโปรโมชั่นพิเศษของโรงแรม หรือแม้แต่โทร.ติดต่อไปยังลูกค้าประจำ เพื่อให้เขาสนใจชักชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักเหมือนเดิม แต่เมื่อนักท่องเที่ยวถามว่าโรงแรมอยู่ที่ไหน พอรู้ว่าอยู่ติดบ้านนายกฯ เขาปฏิเสธทันที และยื่นยันว่าไม่ไปพักแน่นอน รวมถึงคำตอบที่ว่าหากบ้านนายกฯ ไม่ย้ายไปโรงแรมก็ต้องย้าย ตอนนี้เราขายห้องพักไม่ได้เลย

-เตรียมขึงป้ายยักษ์วอนอีกครั้ง

"ดังนั้น เราจะรอการประสานมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแม้แต่นายกฯ จนถึงวันที่ 12 พ.ย. เวลา 18.00 น. หากไม่มาเราเตรียมมาตรการขั้นต่อไปคือการขึ้นป้ายผ้าขนาดใหญ่มีขนาดความกว้าง 1.10 เมตร ยาวขนาด 4.30 เมตร จำนวน 2 ผืน โดยผืนแรกจะติดไว้ตรงข้างโรงแรมหน้าทางเข้าลานจอดรถของโรงแรม ส่วนผืนที่สองจะติดตรงหน้าโรงแรมฝั่งตรงข้ามบ้านนายกฯ โดยเขียนข้อความว่า 'ท่านนายกครับ.......ลูกค้าไม่กล้ามา เพราะกลัว ธุรกิจเสียหายหมด' และ 'ท่านนายกครับ.....ช่วยประสานผู้มีอำนาจ เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจตรงข้ามบ้านท่านให้รอดตายด้วยน่ะครับ' เมื่อนายกฯ เดินทางออกจากบ้านจะได้เห็นความเดือดร้อนของเราชัดๆ" นายอนันต์กล่าว และว่า นอกจากนี้เรายังจัดทำป้ายผ้าขนาดความกว้าง 60 เซนติ เมตร ยาวขนาด 1 เมตร จำนวน 10 ผืน นำไปติดไว้กับโครงเหล็ก และนำไปตั้งไว้ริมฟุตปาธ เพื่อให้คนที่สัญจรไปมาหน้าบ้านนายกฯ เห็นกันอย่างทั่วถึง และหากยังไม่มีสัญญาณอะไรตอบกลับมาเราก็เพิ่มมาตรการให้เข้มข้นขึ้นอีก เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้โรงแรม และพนักงานของเราอยู่รอดให้ได้

-'มาร์ค'อ้างเคยช่วยไปแล้ว

วันเดียวกัน ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีโรงแรมยูโร แกรนด์ ร้องเรียน ว่า เขาเคยร้องเรียนมาก่อนหน้านี้ และเราเคยมีมาตรการที่ให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่เคยช่วยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง แต่เมื่อเขามีปัญหาเพิ่มตนก็ส่งให้ทางนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐ มนตรี และนางอัญชลี วานิชเทพบุตร รองเลขาธิการนายกฯ ช่วยดูแลให้ ก่อนหน้านี้เราเคยช่วยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขามีปัญหาเพิ่มเราก็จะมาดูให้

เมื่อถามว่า เป็นเพราะอะไรทำไมทางโรงแรมจึงร้องเรียนมาว่าไม่มีแขกมาพัก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องไปดูเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องบางครั้งอาจมีการไปเตือนหรือเปล่า ตนไม่ทราบว่าบริเวณนี้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอยู่กันมาก แต่ความจริงเราได้ดูแลไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมีปัญหาเพิ่มเดี๋ยวก็จะดูแลว่ามันมีปัญหาอะไรที่คิดว่าจะช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์

-ยันไม่ย้ายไปอยู่บ้านพิษณุโลก

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากต้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนายกฯ จนทำให้ประชาชนวิตกและหวาดกลัว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ก็พูดยาก เพราะจริงๆ ธุรกิจต่างๆ ในซอย (สุขุมวิท 31) ก็มีเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาทั้งหมดก็ต้องไปดู"

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯ จะย้ายไปพำนักที่บ้านพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านรับรองแทนเพื่อให้เกิดความสะดวกกับทุกฝ่าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สภาพปัจจุบันก็ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่
ต่อข้อถามว่านายกฯ ได้เคยคุยกับเจ้าของโรงแรมบ้างหรือยัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เคย ทางเจ้าของโรงแรมดังกล่าวเคยมาพูดคุยกับตน และเคยให้การช่วยเหลือกันไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งเขายังมาขอบคุณ แต่ต่อมาเข้าใจว่ามีปัญหาเพิ่มเติมก็ต้องไปดูตามข้อเท็จจริง

-แฉทีมรปภ.วันละ 1 กองร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีนั้น ยังคงอยู่ในชั้นสูงสุดของมาตรการ ซึ่งในการดูแลรักษาความปลอดภัยได้แบ่งเป็นส่วนของการรักษาความปลอดภัยในส่วนของสถานที่ และการรักษาความปลอดภัยในส่วนของบุคคลสำคัญ ซึ่งตามระเบียบแล้วบริเวณบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 31 นั้นขึ้นตรงกับ สน.ทองหล่อ ซึ่งในการดูแลรักษาความปลอดภัยนั้นก็ขึ้นตรงกับบก.น.5 ซึ่งขึ้นตรงกับกองบัญชาการตำรวจ นครบาล แต่เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ กทม.ยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนั้น จึงยังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานของทหารหรือตำรวจที่เป็นผู้ดูแลโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติปัจจุบันแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ของตัวเองเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีทั้งตำรวจ ทหาร โดยแต่ละวันมีไม่น้อยกว่า 1 กองร้อย และส่วนใหญ่ต่างสวมเสื้อชุดดำ สวมแว่นตาดำ เมื่อออกปฏิบัติหน้าที่ก็จะทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสับสน และหวั่นวิตกเนื่องจากไม่ชัดเจนว่าตกลงเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือฝ่ายก่อความไม่สงบกันแน่ อีกทั้งในยามค่ำคืนหรือช่วงเข้า-ออกจากบ้านพักของนายกฯ และบุคคลในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็จะดูแลรักษาความปลอดภัยเข้มงวด และบางครั้งก็ติดอาวุธครบมือด้วย

-มีมากจนจนท.เองก็ยังสับสน

"แม้แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ด้วยกันเอง บางครั้งก็ยังไม่รู้เลยว่าใครมาจากหน่วยไหนกันบ้าง เพราะต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน อีกทั้งก็ยอมรับว่าการประสานงานบางครั้งยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ต่างฝ่ายต่างฟังเฉพาะคำสั่งจากหน่วยงานต้นสังกัดตัวเองเท่านั้น" แหล่งข่าวจาก รปภ.ระบุ

ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยรักษาความปลอด ภัยบุคคลนั้น ในการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีมีการส่งเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้ามาดูแล ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.21 หน่วยทหารจากกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (สห.ทบ.) หน่วยอากาศโยธิน หน่วยรบพิเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นนายเวรใกล้ชิด

-ทบ.กำชับชุดรปภ.ให้ระวัง

แหล่งข่าวกองทัพเปิดเผยว่า ทีมรักษาความปลอดภัยให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ในส่วนที่เป็นทหาร ปัจจุบันกองทัพได้ส่งทหารจากหน่วยกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ ร.21 รอ. ทหารเสือราชินี จำนวน 2 ชุด ชุดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) และทหารจากหน่วยอากาศโยธิน ของกองทัพอากาศ ชุดละไม่เกิน 10 นาย โดยเป็นชุดส่วนล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง และชุดอารักขาติดตามรักษาความปลอด ภัย โดยทหารทั้งหมดจะไม่สวมเครื่องแบบ ทำงานด้วยการใส่ชุดนอกเครื่องแบบ เช่น แจ๊ก เกตสูท หรือสูทสีดำ ส่วนทหารที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยที่บ้านจะใช้ชุดสารวัตรทหารบก (พัน.สห.11) จำนวน 12 นาย

แหล่งข่าวแจ้งว่า กรณีที่โรงแรมยูโร แกรนด์ร้องเรียนนั้น ทางทหารที่เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยทุกคนรู้จักหน้าที่ของตนเอง คิดว่าไม่มีการไปยืนรอบโรงแรม เพื่อให้เขาเกิดความเดือดร้อนแน่ แต่เมื่อมีข่าวเกิดขึ้นก็จะกำชับทหารที่ไปทำหน้าที่ให้ระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนของทุกฝ่าย เราก็เข้าใจเพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ทางโรงแรมอาจประสานหัวหน้าชุดของทหาร ตำรวจที่ทำหน้าที่ก็ได้ ดีกว่าไปร้องหนังสือพิมพ์ให้เกิด
เป็นข่าว

“ประยุทธ์” เตือนครั้งที่ 1 เสื้อแดง-ล้มเจ้าหยุดสร้างสถานการณ์ป่วน !!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

8 พฤศจิกายน 2553 23:49 น.

ผ่าประเด็นร้อน

อาจเป็นเพราะเกิดอาการหวั่นไหวจากคำพูดแข็งกร้าวออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำภายใต้บุคลิกชายชาติทหารของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เตือนพวก “ขบวนการล้มเจ้า” ว่าให้หยุดเคลื่อนไหวไม่เช่นนั้นจะถูกจัดการตามกฏหมายขั้นเด็ดขาด รวมไปถึงที่ผ่านมาในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งห้ามไม่ให้แกนนำเสื้อแดงชุมนุมในช่วงที่เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คีมูน เยือนประเทศไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

จากนั้นก็เริ่มมีการดำเนินคดีกับบุคคลที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง บางคนที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ลอยนวลมานานเป็นปี แต่ล่าสุดก็ถูกจับกุมดำเนินคดี เช่น กรณีของ สุชาติ นาคบางไทร เป็นต้น รวมไปถึงการ “กระชับพื้นที่” ไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เช่น “ไอ้กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง พายัพ ปั้นเกตุ และ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการตรวจค้นจับกุมวิทยุชุมชนที่ผิดกฎหมาย ออกอากาศปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งหลายแห่งในหลายจังหวัด ขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็มีการไล่ปิดเว็บไซต์ที่ให้ร้ายสถาบันอีกจำนวนมาก

ทั้งคำพูดรวมไปถึงมีการดำเนินการตามกฎหมายที่ตามมา แม้ว่านาทียังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องโยงใยกันหรือไม่ แต่ก็บังเอิญว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่หลังกันมาติดๆ พอดี

อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นภาพของนายทหารในฐานะผู้บัญชาการทหารบกที่มีภารกิจหลักอีกอย่างหนึ่งก็คือพิทักษ์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และในฐานะทหารที่เติบโตในสายของ “ทหารเสือราชินี” ซึ่งจากท่าทีและบทบาทดังกล่าวของเขาทำให้ได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งกลับสร้างผลสั่นสะเทือนกับเครือข่ายล้มเจ้าทั้งขบวน เพราะการเคลื่อนไหวทำได้ลำบากมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งในที่นี้ก็ย่อมหมายรวมถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็นระดับหัวหน้าขบวนการไล่เรียงลงมาจนถึงระดับปลายแถวในระดับแกนนำคนเสื้อแดง ฯลฯ เพราะในความเป็นจริงคนเหล่านี้ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกันมานาน ทั้งในและนอกสภา บนดินและใต้ดิน ด้วยอาการสั่นไหวดังกล่าวจึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีรายการ “ตีปลาหน้าไซ” หรือ “ดักคอ” เอาไว้ก่อน โดยเฉพาะการปลุกกระแสปฏิวัติขึ้นมา ทางหนึ่งก็เพื่อสร้างเงื่อนไขในการสร้างกระแสมวลชนขึ้นในช่วงที่กำลังมีการเคลื่อนไหวในเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปจนถึงธันวาคมและปีใหม่ โดยภาพที่ปรากฏในเวลานี้ก็คือพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมด้วยแกนนำเสื้อแดงกำลังเดินสายปราศรัยโจมตีรัฐบาลในภาคอีสาน

ที่น่าสนใจก็คือ การปราศรัยของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ระบุว่า ทหารจะก่อการรัฐประหาร !! น่าสนใจตรงที่ว่า ได้รับการตอบโต้อย่างทันควันจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะรู้ทันพร้อมเตือนสวนกลับไปในทำนองให้ “หยุดสร้างสถานการณ์ป่วน เพื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่” หรือให้หยุดพฤติกรรมสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้ตัวเขาในทำนองว่าต้องการ “อำนาจ” อะไรประมาณนั้น เป็นลักษณะของการดักทางเอาไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันยังตอบโต้กลับไปอย่างทันควันว่ายังมี “บางกลุ่ม” ที่ไม่ต้องการบ้านเมืองสงบ

คำพูดของผู้บัญชาการทหารบกที่ออกมาครั้งนี้ บังเอิญว่าไปสอดคล้องกับข่าวจากฝ่ายความมั่นคงว่าความเคลื่อนไหวที่ก่อเหตุวุ่นวายในช่วงเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปจนถึงปีใหม่ดังกล่าว ตามที่ฝ่ายความมั่นคงได้ออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้

ถ้าให้สรุปภาพรวมจากการเคลื่อนไหวของและท่าทีของแต่ละฝ่าย เริ่มจากเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ก่อนต้องยอมรับว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้การเคลื่อนไหวของแกนคนเสื้อแดงสะดุดลงไม่น้อย ซึ่งคนเสื้อแดงในที่นี้ยังหมายรวมถึง “ขบวนการล้มเจ้า” ที่เป็นเนื้อเดียวกันมานานอีกด้วย

ขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็นการเตือนอย่างตรงๆ เข้มๆ ไปถึงกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ป่วนในบ้านเมืองแล้วโยนความผิดให้ทหาร และการปลุกกระแสปฏิวัติขึ้นมาเพื่อให้ภาพของกองทัพดูติดลบ แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือการรู้ทันจึงต้องรีบบล็อกเอาไว้ก่อน และแน่นอนว่าความหมายคงไม่ใช่ต้องการสื่อไปถึง จตุพร พรหมพันธุ์เป็นแน่ เพราะในความเป็นจริงถือว่าปลายแถวและไร้ราคาเกินไป แต่ต้องการสื่อไปให้ไกลกว่านั้น ทั้งหัวหน้าขบวนการล้มเจ้าและ “ทหารแก่โรคจิต”บางคนมากกว่า

ดังนั้นเมื่อเริ่มขยับเข้ามาอีกรอบ ขณะที่อีกฝ่ายก็รู้ทันและเตรียมตอบโต้แบบทันควัน ทำให้เชื่อว่าในเกมใต้ดินจะต้องโรมรันพันตูกันอย่างถึงพริกถึงขิงแน่นอน !!

----------------------

ผบ.ทอ.ยันไม่ได้สั่งพักราชการ "น.ต.ชนินทร์"เผยไม่รู้เป็นลูกน้องใคร คนเพชรสงสัยเป็นหลานกำนันช้อง

11พ.ย.53

ผบ.ทอ. ยันไม่ได้สั่งพักราชการ "น.ต.ชนินทร์"เผยไม่รู้เป็นลูกน้องใคร คนเพชรสงสัยเป็นหลานกำนันช้อง คล้ายคลึง เครือญาติ"ราชศักดิ์"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายช่าง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศโพสท์ข้อความหมิ่นสถาบันว่า หากทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย และได้เคยเน้นย้ำผู้บัญชาการเหล่าทัพในการประชุมสภากลาโหมไปแล้วว่า อย่าให้กำลังพลโพสท์ข้อความหมิ่นสถาบัน ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนนายทหารคนดังกล่าวต้องถูกลงโทษตามระเบียบวินัยของทหารอากาศ


พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวว่า รายละเอียดกำลังสอบสวนอยู่ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้านวินัย ส่วนความผิดทางด้านกฎหมายเป็นหน้าที่ของตำรวจจะดำเนินการ เมื่อถามว่าการโพสท์ข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเป็นกระบวนการ พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่า น.ต.ชนินทร์เป็นลูกน้องใคร ต้องรอการตรวจสอบก่อน


ผู้สื่อข่าวถามถึงโทษสูงสุดของการหมิ่นสถาบัน พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า อยู่ที่เข้าข่ายความผิดข้อใด หากเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.ว่าความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งตำรวจกำลังดำเนินการอยู่หากตำรวจต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ทางกองทัพอากาศให้ความร่วมมือเต็มที่ โดย น.ต.ชนินทร์ต้องไปแก้ข้อกล่าวหาเอง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้สั่งพักราชการหรือกักบริเวณ น.ต.ชนินทร์แต่อย่างใด เพราะอยู่ในการขั้นตอน ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเฟซบุ๊คของ น.ต.ชนินทร์ ถูกปิดไปเรียบร้อย ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รุมโจมตี น.ต.ชนินทร์ อย่างรุนแรง โดยนำภาพและข้อมูลส่วนตัว เช่น ภาพสมัยเป็นนักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายเรืออากาศ รวมถึงภาพที่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง มาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และเต็มไปด้วยอารมณ์

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่า น.ต. ชนินทร์ มีนามสกุลคล้ายกับ "นายช้อง คล้ายคลึง " อดีตสมาชิกสภาจังหวัดเพชรบุรี และอดีตกำนัน ตำบลช่องสะแก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี สำหรับ นายช้อง คล้ายคลึง ตามประวัติแล้ว เป็นคนจริง รักพวกรักพ้อง มีจิตใจกว้างขวาง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การเคลื่อนไหวและสภาพทางสังคม เป็นเหตุให้ชีวิตของนายช้อง คล้ายคลึง เป็นชีวิตแห่งการต่อสู้โลดโผนตลอดมา

ปี พ.ศ. 2522 ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ นายช้อง คล้ายคลึงจึงได้ลาออกจากตำแหน่งกำนัน และตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด มาสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งถูกคนร้อยลอบยิงเสียชีวิต ในขณะที่กลับจากหาเสียงที่ อ. เขาย้อย จ. เพชรบุรี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2522 เวลาประมาณ 01.00 น. รวมอายุได้ 35 ปี

จากการเมืองในรุ่นกำนันช้องมาสู่รุ่นหลาน ในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 หลานกำนันช้อง คนหนึ่งชื่อ ราชศักดิ์ คล้ายคลึง ได้ลงเลือกตั้งในเขต 1 จ.เพชรบุรี ในนามพรรคไทยรักไทย แข่งกับนายอลงกรณ์ พลบุตร พรรคประชาธิปัตย์ ครั้งนั้น "โอ๊ค" นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มาช่วยหาเสียงให้กับนายราชศักดิ์ แต่เมื่อผลเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่า นายราชศักดิ์ พ่ายแพ้นายอลงกรณ์
เมื่อสอบถามไป ชาวบ้านในตำบลช่องสะแก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรีผู้หนึ่ง ได้รับการบอกกล่าวว่า น.ต. ชนินทร์ น่าจะเป็นหลานกำนันช้อง คล้ายคลึง

แผนปรองดอง..ชาละวันแต๋วแตก ชิมิ ชิมิ?

แกะรอย"ลับลวงพราง"แบบ"หนั่น"มือปรองดอง"มาร์ค-แม้ว"เชื่อม3ตระกูลดัง-โยกหุ้นให้ลูกก่อนนั่งรมต.

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:39:39

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี อันเนื่องมาจากยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเงินกู้ 45 ล้านบาท

หลังพ้นโทษกลับเข้ามาเล่นการเมืองและมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

ล่าสุด พล.ต.สนั่นรับบทตัวกลางเจรจาหาทางปรองดองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงขั้นบินไปพบอดีตนายกฯผู้อื้อฉาวถึงประเทศนอร์เวย์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นการเจอกันโดยบังเอิญ

ท่ามกลางคนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า การเดินเกมของนักการเมืองใหญ่ในครั้งนี้ "ซ่อน" นัยทางการเมือง หรือไม่?

กระนั้นก่อนที่จะ "อ่าน" และ "สรุป" พล.ต.สนั่นขอให้ดู "ความเป็นเลิศ" พล.สนั่นในแง่มุมดังต่อไปนี้

ตอนเป็น ส.ส.พิจิตร วันที่ 22 มกราคม 2551 พล.ต.สนั่นแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มีทรัพย์สิน 110,190,748 บาท หนี้สิน 7,219,727 บาท นางฉวีวรรณ ภรรยา มี 38,027,098 บาท ไม่มีหนี้สิน รวม 2 คน 148,217,846 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 140, 998,118 บาท

พล.ต.สนั่นมีเงินลงทุน 12 รายการ มูลค่า 7,438,602 บาท ได้แก่บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด 1,000 หุ้น มูลค่า 1 แสนบาทBLAND 8,000,000 หุ้น มูลค่า 5,760,000 บาทหุ้น KMC 1,046,732 หุ้น มูลค่า 659,441 บาท,หุ้น KMC-W 1 จำนวน 139,998 หุ้น มูลค่า 19,599 บาทหุ้น SAMTEL 50,000 หุ้น มูลค่า 377,500 บาทหุ้น TMB 15 หุ้น มูลค่า 17 บาทหุ้น TRAF 43,760 หุ้น มูลค่า 312,884 บาทหุ้น TT&T 75,000 หุ้น มูลค่า 52,500 บาทหุ้น TRAF (ลูกหุ้น) 87,520 หุ้น มูลค่า 156,668 บาท และUOB 12 หุ้น ไม่มีมูลค่า

เลิกกิจการแล้ว ได้แก่บริษัท เพอร์มาเน็กซ์ อินเตอร์ทรานส์ จำกัด บริษัท รวมชนชาวไทย จำกัด และ บริษัท ขจรสยาม จำกัด นางฉวีวรรณถือหุ้น 6 รายการ ได้แก่บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด 1,000 หุ้น มูลค่า 1 แสนบาทบริษัท ทรัพย์นิชากร ทาวน์เฮ้าส์ จำกัด 1,016 หุ้น มูลค่า 101,600 บาทบริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาทบริษัท ขจรฟาร์ม รีสอร์ท จำกัด 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาทบริษัท ไทยแอร์ เซอร์วิส จำกัด 150 หุ้น มูลค่า 150,000 บาท และบริษัท ทรัพย์สารสิน จำกัด 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 รับตำแหน่งรองนายกฯ ครม.สมัคร พล.ต.สนั่นมีทรัพย์สิน 103,158,806 บาท เงินลงทุนเพียง 1 รายการ คือหุ้น TRAF (ลูกหุ้น) 87,520 หุ้น มูลค่า 156,660 บาท หนี้สิน 296,578 บาท นางฉวีวรรณมี 37,175,488 บาท ไม่มีเงินลงทุน ไม่มีหนี้สิน รวมทรัพย์สิน 140,334,294 บาท เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 140,037,715 บาท

เมื่อเปรียบเทียบ 2 ครั้ง เงินลงทุนของ พล.ต.สนั่นและนางฉวีวรรณลดลง 8,133,552 บาท
จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 พล.ต.สนั่นและนางฉวีวรรณได้โอนหุ้นไปให้บุตรสาวอย่างน้อย 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด, บริษัท ทรัพย์นิชากร ทาวน์เฮ้าส์ จำกัด, บริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด, บริษัท ขจรฟาร์ม รีสอร์ท จำกัด

อีก 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยแอร์เซอร์วิส จำกัด โอนให้นายวุฒิศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ กลุ่มซีทีไอทาวเวอร์ ซึ่งเกี่ยวโยงคดีเงินกู้ 45 ล้าน

ทั้งนี้ บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สนามบินน้ำมาร์เก็ตพาร์ค จำกัด) ก่อตั้งวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ทุนจดทะเบียน ล่าสุด 25 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนรายการอื่นไม่พบข้อมูลว่าโอนไปให้ใคร ?

วันที่ 25 กันยายน 2551 ตอนเป็นรองนายกฯ รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.สนั่นแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 103,105,584 บาท หนี้สิน 4,624,576 บาท นางฉวีวรรณ 37,184,690 บาท ไม่มีหนี้สิน รวม 2 คน 140,290,275 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 135,665,699 บาท

วันที่ 22 ธันวาคม 2551 ตอนเป็นรองนายกฯ ครม.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พล.ต.สนั่นแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 103,101,482 บาท หนี้สิน 3,694,671 บาท นางฉวีวรรณแจ้งว่า มีทรัพย์สิน 37,184,690 บาท ไม่มีหนี้สิน รวมทรัพย์สิน 140,286,173 บาท มีทรัพย์สินมากว่าหนี้สิน 136,591,502 บาท

การยื่นบัญชี 2 ครั้งหลังสุด ไม่มีเงินลงทุนอีกต่อไป

กล่าวสำหรับ นางสาวบงกชรัตน์ นางสาวปัทมารัตน์ และ นางสาววัฒนีพร ขจรประศาสน์ ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ 9 บริษัท

1.บริษัท รอยัล ลานนา ทาวเวอร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 กันยายน 2533 ทุน 142 ล้านบาท 2.บริษัท ชาละวัน จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 ทุน 25 ล้านบาท 3.บริษัท บงกช ส่งออกและนำเข้า จำกัด จดทะเบียน 26 มกราคม 2544 ทุนจ 21 ล้านบาท4.บริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด จดทะเบียน 15 สิงหาคม 2546 ทุน 1 ล้านบาท 5.บริษัท วี-วัน กอล์ฟ จำกัด จดทะเบียน 23 กันยายน 2545 ทุน 1 ล้านบาท 6.บริษัท สนามบินน้ำมาร์เก็ตพาร์ค จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด) จดทะเบียน 13 กุมภาพันธ์ 2547 ทุน 25 ล้านบาท7.บริษัท ซิลเวอร์ คอยน์ จำกัด จดทะเบียน 14 กันยายน 2548 ทุน 55 ล้านบาท ประกอบธุรกิจเกมส์ออนไลน์ 8.บริษัท ทรัพย์สารสิน จำกัด จดทะเบียน 26 ธันวาคม 2546 ทุน 1 ล้านบาท 9.บริษัท ชาละวัน ไวน์เนอรี จำกัด จดทะเบียน 6 พฤศจิกายน 2545 ทุน 10 ล้านบาท

ในจำนวนนี้ 1 บริษัทลงทุนร่วมกับนายประสงค์ โฆษิตานนท์ นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ และ ร้อยโทชวลิต เตชะไพบูลย์ ชื่อบริษัท ชาละวัน จำกัด ผลิตไวน์ อยู่ในจ.พิจิตร โดยนายประสงค์ ถือหุ้น 20% นายวินัย 10% ร้อยโทชวลิต 9.9% นางสาวบงกชรัตน์ นางสาวปัทมารัตน์ และนางสาววัฒนีพร ขจรประศาสน์ ถือหุ้นคนละ 15%

ทั้งหมดคือ"นวัตกรรม"ของรองนายกฯ ในวันที่บอกใครๆ( อีกครั้ง)ว่าถ้าปรองดองสำเร็จจะวางมือทางการเมือง

--------------

“เสธฯหนั่น”คุย นช.ทักษิณ เส้นทางไปสู่นายกฯ สำรอง บนภาพลวงสร้างปรองดอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 พฤศจิกายน 2553 23:55 น.

การกลับมาทำงานที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ของพลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี จากชาติไทยพัฒนา ในวันนี้(อังคารที่ 9 พ.ย.) ซึ่งมีนัดจะแถลงข่าวเกี่ยวกับการไปพบนช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศนอรเวย์

“เสธฯหนั่น”คงต้องตอบคำถามข้อสงสัยของสังคมมากมายหลายประเด็นข้อสงสัยต่อกรณีที่มีการอ้างจากนพดล ปัทมะ โทรโข่งประจำตัวนช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุว่าเสธฯหนั่นได้มีการพบปะพูดคุยถึงแนวทางการปรองดองทางการเมืองกับนช.ทักษิณ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ ระหว่างที่ทั้งสองคนเจอกันในงานกฐินพระราชทาน 9 วัด 9 ประเทศ อันมีเสธฯหนั่นเป็นตัวแทนของฝ่ายรัฐบาลไปดำเนินการเรื่องนี้ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลงานของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

หากดูตามคำแถลงของนพดล ที่รีบชิงนัดหมายสื่อมวลชนแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นั่นย่อมหมายถึงว่า นพดลได้รับคำสั่งมาจากนายใหญ่ ทักษิณ แล้วว่าให้แถลงข่าวเรื่องการพบกันของทักษิณกับเสธฯหนั่นเพื่อให้คนไทยและรัฐบาลไทยได้รับรู้ในการพบกันของ

รองนายกรัฐมนตรีจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย-ผู้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกในคดีอาญา และการตกเป็นผู้ต้องหาหนีคดีตามหมายจับอีกจำนวนมาก ที่ทักษิณถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ จนถูกกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับไปยังตำรวจสากลทั่วโลก ย่อมไม่ธรรมดา

“เสธฯหนั่น”พบ “ทักษิณ”ระหว่างงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดไทยในประเทศนอร์เวย์ แถมยังเป็นการพบกันแบบที่ทักษิณ ภาคภูมิใจจนต้องรีบให้นพดลออกมาแถลงข่าวล่วงหน้า
นี้คือการตบหน้ารัฐไทยฉาดใหญ่ของทักษิณ นักโทษและจำเลยหลบหนีคดีของศาลไทย

เสธฯหนั่น ซึ่งเล่นบทคนกลาง-นักปรองดอง ชนิดข้ามหน้าข้ามตา อภิสิทธิ์ มาตลอด จะมีท่าที และคำชี้แจงในเรื่องนี้อย่างไร ต้องติดตาม แต่คงคาดเดาได้ไม่ยาก เช่น ไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้า ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะได้เจอทักษิณ เพื่อเป็นการเซฟตัวเองในทางหนึ่งด้วย

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็หมายถึงว่า นพดล อดีตรมว.ต่างประเทศ ให้ข่าวไม่ตรงความเป็นจริง เพราะนพดลบอกกับสื่อมวลชนว่า ก่อนหน้าการพบกันดังกล่าวทั้งสองคนน่าจะมีการพูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว

เรื่องทั้งหมดต้องรอฟังจากปากเสธหนั่นดีที่สุด ว่าจะตอบทุกข้อสงสัยอย่างไร ?

โดยเฉพาะคำถามถึงเรื่องความเหมาะสมที่เสธฯหนั่น ไปพบกับทักษิณ อันมีฉากหลังคืองานบุญที่ทำในนามของหน่วยงานราชการไทย มันเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ?

หลังล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินไปยังเวทีของพรรคเพื่อไทยเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่จัดกันที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี เมืองหลวงคนเสื้อแดงในอีสาน ที่มีการพูดถึงเสธฯหนั่นอย่างออกหน้าออกตาและพูดถึงเรื่องการปรองดองอย่างร้อนแรง อันตีความได้ไม่ยากว่า ทักษิณกับเสธฯหนั่น น่าจะได้คุยกันแล้ว ก่อนที่โฟนอินดังกล่าวจะเกิดขึ้น

“เราต้องหันหน้าเข้าหากัน ควรเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง คนตายต้องได้รับการชดเชยหลายล้านบาท คนบาดเจ็บสาหัสต้องชดเชย คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกจับติดคุก ก็ต้องชดเชย วันนี้ไม่ต้องเลือกสีใด แต่ต้องเยียวยา เพื่อให้แผลจากความขัดแย้งได้หายไปจากสังคม แล้วเรามาสร้างชาติกัน

วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการให้ประเทศไปสู่ความปรองดองให้ได้ พล.ต.สนั่นเอาจริงเอาจังมาก พยายามเดินให้เกิดความปรองดองให้ได้ วันนี้ใครขัดขวางเรื่องนี้แสดงว่าคนนั้นเห็นแก่ตัวอย่างบัดซบ ผมเป็นคนโดน แต่พร้อมยอมกลืนความเจ็บปวด เพื่อให้คนไทยมีความสุข ผมจะไม่เป็นอะไร ถ้าคนไทยมีความสุข ผมก็มีด้วย"

สถานการณ์แบบนี้ มันต้องฟังหูไว้หู ไม่รู้ว่า ชั่วโมงนี้ เสธฯหนั่นกับทักษิณ คิดอะไรกันอยู่และทั้งสองคนมีข้อตกลงลับอะไรกันหรือไม่ เนื่องจากเสธฯหนั่นถือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋า คิดและทำอะไร ประชาชนต้องมองหลายชั้น อ่านหลายทาง โดยเฉพาะผลประโยชน์ได้-เสีย ที่ตัวเสธฯหนั่นจะได้รับ หลังจากเล่นบท คนกลางนักปรองดองมาหลายเดือน ในการเล่นเดินสายไปทั่ว เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายเสื้อแดง ที่ถึงบุกเรือนจำไปพบแกนนำเสื้อแดงอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำนปช.

จากนั้น พอเริ่มจุดกระแสติด ก็บุกไปพบตัวแทนพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคเช่น เพื่อไทย -เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนา -ประชาราช หรือพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. ณ ที่ทำการพรรคมาตุภูมิ รวมถึงการพบสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯเสื้อเหลืองที่บ้านพระอาทิตย์

ซึ่งทุกครั้งเสธฯหนั่นจะทำทีว่า มาขอรับฟังความคิดเห็นเรื่องการหาทางสร้างความปรองดอง โดยไม่หวังผลทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนก่อนหน้านี้ ที่กระแสคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ดูจะออกมาในทางไม่เป็นผลดีกับพรรคและอภิสิทธิ์ เนื่องจากหลายคนแม้แต่คนในประชาธิปัตย์ดูจะไม่มั่นใจว่าประชาธิปัตย์จะรอด จึงทำให้แวดวงการเมืองพูดกันถึงเรื่อง “นายกฯสำรอง”

ยิ่งเมื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรีไปลงสมัครส.ส.ที่สุราษฏรธ์ธานี ก็ยิ่งทำให้เรื่อง “นายกฯสำรอง”ดังขึ้นเรื่อยๆ และบทบาทของเสธหนั่นในฐานะนักปรองดองที่ออกมาในช่วงนั้น ก็เลย ทำให้เสธฯหนั่น ถูกมองว่าเพื่อหวังเดินสายขอคะแนนเสียงจากทุกพรรคไม่เว้นแม้แต่เพื่อไทย ในการเตรียมเป็น “นายกฯสำรอง”จนเสธฯหนั่นต้องออกมาปฏิเสธยกใหญ่

อย่างไรก็ตาม กระแสคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ตีกลับทันทีหลังเกิดกรณีคลิปลับที่ทำให้หลายคนเริ่มจะมองว่า”ประชาธิปัตย์รอด”บทบาทนักปรองดองของเสธฯหนั่นก็เงียบหายไปทันที

ข้อเท็จจริงของ “บทสนทนาที่นอร์เวย์”ระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี กับ นักโทษชาย ทักษิณ เชื่อเถอะว่า ไม่มีทางที่จะมีการเปิดเผยออกมาทั้งหมด
แต่สิ่งที่ทักษิณได้แล้ว คือการตบหน้ารัฐไทย-รัฐบาลไทย-กระบวนการยุติธรรมของไทย ด้วยการเอาเสธหนั่นมารับรองความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ไม่อย่างนั้นคงไม่สั่งให้นพดลรีบชิงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเสธฯหนั่น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะไม่แน่เสธฯหนั่นอาจต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของการพูดคุยแบบสองต่อสอง ไม่อยากให้ใครรับรู้โดยเฉพาะคนที่เมืองไทย
การอาสามาทำงานเรื่องนี้ มีหรือเสธฯหนั่นจะไม่รู้ว่า ถึงตอนนี้ โอกาสในการปรองดองกับทักษิณ-เสื้อแดง มันแทบจะไม่เหลือความเป็นไปได้เลย ตราบใดที่ทักษิณ ยังไม่ยอมมาเข้าคุกในประเทศไทย ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้

ซึ่งเมื่อเสธฯหนั่นก็รู้ เงื่อนไขตรงนี้ดี แล้วทำไมต้องไปญาติดีกับทักษิณ คนที่วางแผนทุกอย่างเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ประเทศไทย

แท้จริงแล้ว พล.ต.สนั่นคิดและต้องการอะไร

-----------------

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมซไซอะฯ-ประจวบ สังขาว"ล้มละลาย ต้นตอคดียุบปชป.

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:43:21 น. มติชนออนไลน์

"เมซไซอะฯ-ประจวบ สังขาว"ล้มละลาย ต้นตอคดียุบปชป. บริษัทเหลือแต่ห้องแถวร้าง งบดุลถึงแค่ปี47

ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันที่ 5 สิงหาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ "บริษัท เมซไซอะบิซิเนสแอนด์ครีเอชั่นฯ -นายประจวบ สังขาว "ล้มละลาย ตาม คดีหมายเลขแดงที่ ล. 5781/2551 กองบังคับคดีล้มละลาย 1 ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม


ประกาศระบุว่า ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลาง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ให้บริษัท เมซไซอะบิซิเนสแอนด์ครีเอชั่น จำกัด ที่ 1 นายประจวบ สังขาว ที่ 2 ลูกหนี้ ล้มละลายแล้ว

ลูกหนี้ที่ 1 ทะเบียนเลขที่ 0135543004256 (เดิมเลขที่ บอจ. ปท. 4427 ) อาชีพ ไม่ปรากฏอาชีพ มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 108/12 หมู่ที่ 11 ซอย ก.ม. 27 ถนนพหลโยธิน ตำบลคูคตอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

ลูกหนี้ที่ 2 เลขประจำตัวประชาชน 3-1299-00270-89-8 เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2513 อาชีพ ไม่ปรากฏอาชีพ มีภูมิลำเนาอยู่เลขที่ 62/182 หมู่ที่ 3 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่กรุงเทพมหานคร ประกาศ ณ วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ลงนามในประกาศ โดยนาย นคร ชมบุญ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า บริษัท เมซไซอะฯ และนายประจวบ สังขาว" เจ้าของบริษัท เมซไซอะฯ เป็นกุญแจสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในคดี 29 ล้านและคดี 258 ล้าน

จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เมซไซอะฯจดทะเบียนด้วยทุน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 108/12 หมู่ที่ 11 ซอย กม.27 ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ประกอบกิจการรับจ้างผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ บริษัท เมซไซอะฯ ยื่นบัญชีงบดุล ต่อกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ถึงปี 2547 จากนั้นก็ไม่เคยยื่นอีกเลย

จากการวิเคราะห์งบการเงินสิ้นสุดปี 2547 และ 2546 พบว่าบริษัทมีค่า อัตรากำไรสุทธิลดลงเหลือ 2.24 เปอร์เซ็นต์ในปี 2547 เมื่อเทียบกับที่เกิดขึ้นในปี 2546 จำนวน 2.54 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานด้านการทำกำไรที่ลดลง

ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางลงไปตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่พบว่า เป็นเพียงคูหาเล็กๆ ซึ่งได้ปิดกิจการไปนานแล้ว เมื่อดูจากลักษณะอาคารภายนอก จึงตั้งประเด็นว่าบริษัท เมซไซอะฯ อาจจะไม่เคยประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เลยก็เป็นได้ ?

และเป็นที่สงสัยมากขึ้น เมื่อ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าของบริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ ยืนยันว่า ได้ว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯ ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ ด้วยเงินค่าจ้าง 258 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อ นายประจวบ ได้นำเอาหลักฐานการโอนเงินค่าจ้างทำโฆษณาที่ บริษัท ทีพีไอโพลีนฯจ่ายให้ ซึ่งได้กระจายไปยังบัญชีของคนใกล้ชิดผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์หลายคน หลายครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1.9 ล้านบาท มาแสดงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในช่วงที่ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จนทำให้มีการเชื่อมโยงประเด็นระหว่าง "ประชัย-ประจวบ-ประชาธิปัตย์" เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และมีคำถามตามมาอย่างน่าสนใจ เช่น จงใจหลีกเลี่ยงการรายงานการทำธุรกรรมทางการเงิน 2 ล้านบาท ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือไม่?

นับตั้งแต่เปิดเผยเส้นทางการโอนเงินไปสู่คนใกล้ชิดผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายประจวบ ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมระหว่าง "นายประชัย" กับ "พรรคประชาธิปัตย์"

ในระหว่างที่นายประจวบหายตัวอย่างลึกลับนายไทกร พลสุวรรณ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เมซไซอะฯ ก็ออกมาเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญอีกทางหนึ่งโดยนายไทกร ยืนยันกับนักข่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าบริษัท เมซไซอะฯ จะมีศักยภาพเพียงพอรับงานประชาสัมพันธ์มูลค่า 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ ได้

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า บรรดากรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัท เมซไซอะฯ ต่างออกไปเปิดบริษัทใหม่ๆหลังจากที่นายประจวบ โอนเงินไปยังบุคคลต่างๆ 28 คน ระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2547 - 4 กุมภาพันธ์ 2548 เช่น บริษัท ดีพ แอ็ด จำกัด ,บริษัท ไทย-ท๊อพเทอม ซิสเท็ม เซอร์วิส จำกัด เป็นต้น
โดยบริษัท ดีพ แอ็ด จำกัด จดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 ,บริษัท ไทย-ท๊อพเทอมฯ จดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548

เฉพาะ 2 บริษัทนี้ กรรมการและผู้ถือหุ้น ต่างก็เป็นคนที่นายประจวบโอนเงินเข้าบัญชีให้ทั้งสิ้น เช่น นายปัญญา ประสงค์ ,น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ ,นายดิเรก ประสงค์ ,นายมานพ น้าสุวรรณ ,นายสวัสดิ์ สังขาว เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อตามไปตรวจสอบยังที่ตั้งของทั้ง บริษัท ดีพ แอ็ด จำกัด และ บริษัท ไทย-ท๊อพเทอม ฯ พบว่า เป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆบนแฟลตการเคหะแห่งชาติ แจ้งวัฒนะ สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นบริษัท มีเพียงป้ายที่ติดไว้หน้าประตูเท่านั้น

จากประเด็นทั้งหมดล้วนเป็นข้อพิรุธในความเชื่อมโยงระหว่าง บริษัท เมซไซอะบิซิเนสแอนด์ครีเอชั่นฯ -นายประจวบ สังขาว -นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคน ?

สะพัดเงินอุดหนุน อบจ.ลงฐานเสียง"ภท."อื้อ

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:59:59 น. มติชนออนไลน์

สะพัดเงินอุดหนุน อบจ.ลงฐานเสียง"ภท."อื้อ แห่เร่ขายแลกหักค่าหัวคิว50% เชียงใหม่ได้งบฯซีอีโอ 4 ล้าน สะพัดเงินอุดหนุน อบจ.ลงฐานเสียง"ภท."อื้อ จว.เพื่อไทย-เสื้แดงกินแห้ว บางพรรคเร่ขายแลกหักค่าหัวคิว50% เชียงใหม่ได้งบฯซีอีโอ 4 ล้าน

ปูดงบฯเฉพาะกิจ อบจ.ลงถิ่น"ภท."

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า จากการตรวจสอบเอกสาร "การเพิ่ม" งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ให้กับหน่วยงานต่างๆ หลังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 พิจารณา "ปรับลด" งบฯจากหน่วยงานต่างๆ ลง รวมทั้งสิ้น 33,449 ล้านบาท เพื่อพิจารณางบฯเพิ่มให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ากระทรวงมหาดไทย ได้รับงบฯเพิ่มมากที่สุดคือ 8,970 ล้านบาท โดยมี 3 กรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ได้รับการจัดสรรงบฯเพิ่ม ประกอบด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 20 ล้านบาท กรมโยธาธิการและผังเมือง 12 ล้านบาท และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) 8,142 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า งบฯของ สถ. จำนวน 8,142 ล้านบาท นั้นถูกกระจายไปเป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในการก่อสร้างถนน และลาดยาง ที่น่าสังเกตคือ อบจ.ที่ได้รับการจัดสรรงบฯนั้น ส่วนใหญ่ที่ผู้บริหาร อบจ.มีความสนิทสนม คุ้นเคยเป็นอย่างดี กับคนของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และเป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรค ภท. ขณะที่ อบจ.ในพื้นที่ฐานเสียงพรรคเพื่อไทย (พท.) และพื้นที่ของกลุ่มเสื้อแดง จะไม่ได้รับการพิจารณา

ลำปาง2.4พันล.หวังดูดส.ส.พท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวอย่าง อบจ.ที่ได้รับการจัดงบฯมาก เช่น 1.อบจ.ปทุมธานี ได้งบฯ 58,170,000 บาท เพื่อสร้างโครงการสวัสดิการการเรียนรู้ และสร้างถนน เนื่องจากนายชาญ พวงเพ็ชร์ นายก อบจ.ปทุมธานี เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารพรรค ภท.แต่ตอนหลังลาออกเพราะกลัวขัดกฎหมาย แต่ประกาศตัวเป็นคนพรรค ภท.เต็มตัว 2.อบจ.พะเยา มีทั้งหมด 15 โครงการ ทุกโครงการระบุว่า "สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก"มูลค่า 2,457 ล้านบาท ซึ่งมีถึง 8 โครงการที่ถูกนำไปลงในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้

ซึ่งมีกระแสข่าวว่า ครอบครัว ตันบรรจ ที่เป็น ส.ส.พรรค พท. ใน จ.พะเยา กำลังถูกพรรค ภท.ทาบทามให้มาร่วมงานทางการเมือง 3.อบจ.ลพบุรี ได้รับงบฯ 304 ล้านบาท ทำ 16 โครงการ เนื่องจากนายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี เป็นสมาชิกพรรค ภท. 4.อบจ.เลย มี 10 โครงการ ทั้งซ่อมถนนและลาดยาง มูลค่า 163 ล้านบาท

ซึ่งคนตระกูล สังขทรัพย์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรค ภท. 5.อบจ.สุรินทร์ พื้นที่สีน้ำเงินในการกำกับดูแลนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค ภท.ได้งบฯไปทำ 9 โครงการซ่อมสร้างผิวถนน มูลค่า 140 ล้านบาท ทั้งนี้ งบฯส่วนใหญ่นอกจากจะนำไปลงในพื้นที่ของพรรค ภท.เป็นหลักแล้ว มีอีกไม่ถึง 10 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรงบฯ อาทิ สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ยะลา, อุบลราชธานี, นครพนม, นครราชสีมา และ ศรีสะเกษ

งบฯผู้ว่าซีอีโอฐาน"ภท."ได้อื้อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนงบฯจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (75 จังหวัด 18 กลุ่ม) หรือที่เรียกว่า งบฯผู้ว่าซีอีโอ จำนวน 1,223 ล้านบาท ที่กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแล ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่จังหวัดที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพรรค ภท. อาทิ จ.ราชบุรี พื้นที่ของนายสรอรรถ กลิ่นประทุม และนายบุญลือ ประเสริฐโสภา อดีต ส.ส.ราชบุรี ที่เคยอยู่พรรคพลังประชาชน (พปช.) แต่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและมาสังกัดพรรค ภท. ได้งบฯ 48 ล้านบาท จ.ขอนแก่น 50 ล้านบาท พื้นที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จ.ศรีสะเกษ ฐานเสียงสำคัญของพรรค ภท. 90 ล้านบาท จ.กาฬสินธุ์ 71 ล้านบาท จ.ยโสธร 65 ล้านบาท

"ขณะที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ แต่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดงและฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ได้รับงบฯเพียงแค่ 4 ล้านบาท เช่นเดียวกับ จ.ชลบุรี ที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่สีแดง ได้รับงบฯแค่ 7 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่สองจังหวัดดังกล่าวเป็นจังหวัดเศรษฐกิจของไทย ที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแม้แต่บาทเดียว"

แฉเร่ขายงบฯอบจ.หักหัวคิว50%

กมธ.งบประมาณรายหนึ่ง สังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ระบุว่า ถือว่าเป็นการจัดสรรงบฯเพื่อช่วยเหลือ ส.ส. เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่เท่าที่ทราบในส่วนของพรรคการเมืองหนึ่ง ค่าคอมมิสชั่นจากการทำโครงการต่างๆ จะถูกนำมาเก็บไว้เป็นกองกลาง นอกจากนั้น ยังพบว่ามีการนำงบฯลงไปช่วยเหลือ ส.ส.ในพื้นที่ของพรรคคู่แข่ง เพื่อเป็นการโน้มน้าวใจหรือดึงตัวให้เข้ามาร่วมทำงานกับพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสียงกล่าวหากันด้วยว่ามีการนำงบประมาณไปเร่ขายให้กับ อบจ.บางแห่ง โดยขอหักค่าหัวคิวมากถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำเงินมาสนับสนุนการดำเนินการของพรรคด้วย

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมล์โจมตีทักษิณ

ผู้สื่อข่าวรายงาน(25พ.ค.53)ว่า ขณะนี้ได้มีฟอร์เวิร์ดเมล์ลึกลับส่งไปยังประชาชนโดยทั่วไป เผยแพร่บทความโดยใช้หัวเรื่อง ว่า "วิเคราะห์ทักษิณ2" โดยมีการกล่าวโจมตี"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงความพยายามกลับมามีอำนาจ และการอยู่เบื้องหลังของสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ โดยบทความดังกล่าวมีดังนี้

-------
บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยอ่านแล้วช่วยก็อปปี้ไปโพสท์ หรือส่งอีเมล์ต่อ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จะช่วยชาติได้อย่างมหาศาล

*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง*
***กล่องดวงใจของทักษิณและ นปช.***

ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหนเมื่อทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้จ้างคนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่องหนังสือเล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกินจากนั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจนและคนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบายแนวสังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยมในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง

และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับเม็ดเงินจริงๆยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมดเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป

เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกันแต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณมองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมดความสามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูกปฏิวัติทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิดทักษิณทำอย่างไรบ้างทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชนทักษิณอ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)ทักษิณเคยพูดหรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า"ในโลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"

คนทั่วไปอาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะแต่ทักษิณตีความว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตามที่ตัวต้องการต่างหากถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate informationทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงินเราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ

ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงินแต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุมบังคับอยู่ต่างหากเงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญสิ่งที่ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมาทีแรกเป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตรเสื้อแดงก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า"ความจริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดงการตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ

รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมาเรามักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์แต่ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหกซึ่งเป็นสิ่งที่ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆเป็นคนโกงที่โกหกเก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูดจะรู้ดีว่าได้เคลิบเคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้นนับประสาอะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว

จะอย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมายต้องช่วยให้เขาเห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆเมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้ทักษิณกะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปรามจะได้กลายเป็นทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบไม่มีคนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้าตอนที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณจึงทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่*เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร

***หลังจากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีกต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุดทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอนต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอนแต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสารทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้างหลังสงกรานต์เลือด?ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์เว็บไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก

ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศวิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาลหนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกันนอกจากนี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitterสื่อในต่างประเทศ

บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไปสัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติทำให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีกเห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษาฮุนเซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyistที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วยนักการเมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนพวกนี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้นส.ส.เพื่อไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนนพวกนี้ก็จะช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่งทักษิณถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชนอภิสิทธิ์สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อแกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด

โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลงในหลักสูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่าเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหนและพอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหนจริงอยู่ทำทั้งหมดนี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่าเงินไม่ใช่ตัวความสามารถหลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหากแล้วเมื่อหลอกคนสำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้สังเกตต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา

ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism)โดยลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไปสังเกตดูจะเห็นการทำงานของกลไกสงครามของทักษิณชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุมส.ส.เพื่อไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%ก็ยังสามารถทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อได้ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุมเพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกันในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐานสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ทักษิณถูกรังแก

ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยช่วยกันทำประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลานหลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติเป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณปีนี้จึงไม่แปลกว่าเมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ถ้าเอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูดทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จและจะใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาดจากนั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่

*ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cultเหมือนกับโอมชินริเคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jonesที่หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพรสามเกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อเพียงแต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้นความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิทถึงขั้นสั่งให้ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตามทักษิณอาจยังไม่ถึงขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่ดูลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียวเตรียมขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลยก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง

***จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตายต้องไปหากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกันความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณถ้าทำลายความสามารถนี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิตแต่ควรให้แกมีชีวิตอยู่ และทำให้คนที่ถูกแกหลอกลวงได้ตาสว่างเพื่อให้มองเห็นว่าถูกทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณแล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวงไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไปการทำลายความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณกับสมุน โกหกหลอกลวงคนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้ายและต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอนก็มีหลายร้อยเรื่องแล้วประเด็นอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเองและอธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อเราต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์ต้องยอมรับว่ามีอยู่ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้างและที่ทำดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน*ตัวอย่างการล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช

.****ประเด็นอำมาตยาธิปไตย***

เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดูคำนี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับOligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง แต่ความหมายตามนัยของทักษิณคงหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว หรือ พลเอกเปรม ว่ามีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและข้าราชการต่างๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อจนคนนึกว่ามีอยู่จริงๆทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือบริหารให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540มาใช้ ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็นๆอยู่การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง

ที่ต้องการจริงๆจะเกี่ยวกับการให้ทักษิณพ้นผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหากรัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่าฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้ความจริงการที่ใครสักคนสามารถสั่งการหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ต้องมีอำนาจตามกฎหมายรองรับนั้นเรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือเท่านั้น ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการจะเอากฎหมายอะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรมไปพูดจากับคนอื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา

ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้การออกมาชุมนุมเรียกร้องจึงเป็นการหลอกลวงแท้ๆในการ phone in ที่ผ่านมาทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตย หมายความว่าอย่างไรหมายความถึงการที่อำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไปบอกให้รัฐบาลหรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่กำลังสั่งการให้สส.เพื่อไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเองกำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลังหลอกลวงคนอยู่ ชัดเจน*สองมาตรฐาน

***เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูดหลายตัวอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวีซึ่งจตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อสมัครเป็นนายก ออก พรก.ฉุกเฉินแล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ พออภิสิทธิ์มาเป็นนายกทหารช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไรตอนที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้พรก.แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์นำกำลังเข้ามาแต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่าสมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไร อนุพงศ์ก็เลยไม่ทำบอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ กลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดีๆจะเห็นชัด ตอนสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลาตำรวจทำรุนแรงเกิดเจ็บตาย สมชายโยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่าตัวไม่ได้สั่งบิ๊กจิ๋วสั่ง บิ๊กจิ๋วบอกผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้นพัชรวาทย์บอกเขาสั่งข้ามหัวผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือสุชาติ เหมือนแก้วซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญาหลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุมจะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน ตำรวจคือสุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับครม.ว่าถ้าจะให้ตำรวจทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจนไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้องรับผิด ตำรวจต้องรับผิด ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเองโยนไปให้คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มีผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณาโดยต้องการให้กรรมการชุดนี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลยปรากฎว่าคณะกรรมการชุดนั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่านายกสมชายกลับจากเปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใครก็ออกแถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออกทั้งหมดนี่ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้หรือมีใครสั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิดมาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summitที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกัน เพราะตอนนั้นฝ่ายรัฐบาลไม้ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลังไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้การประชุมก็ล่ม*ถ้าอำมาตย์ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน***บ่ายวันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้วอย่างไรก็ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหารอภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่าการตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลรัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วยหลังจากนั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน*การกล่าวหาว่าอำมาตย์สั่งทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ***การกล่าวหาว่าทหารและตำรวจใช้สองมาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นเท็จแต่ถ้าบอกว่าเป็นต่างมาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง เพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชายไม่กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิด และได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหากความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัวประชาชนในเรื่องนี้ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริงๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้นคนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณหลอกให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง*ทหารจะปฏิวัติ ต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ***เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่เป็นแกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือตั้งแต่อภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอดถ้าเอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเองว่าทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อยๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว และทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้นน่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชนยอมรับว่าได้โกหกถ้าเราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ*ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก***เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อยสำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทางรัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมากแต่คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้คนเข้าใจว่าการที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้วแต่ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้นนอกเหนือจากการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย เช่นการที่นักการเมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ,การตัดสินใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น ซึ่งในประเด็นอื่นๆนอกจากการชนะเลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัวซื้อพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมดแต่งตั้งญาติและเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการงานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาวชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัวทำให้สาระของรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitlerในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตยแต่ต่อมาแกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัวซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมดจนทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้ดังนั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา"ต่างหาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตยส่วนที่ว่าแกถูกทำลายถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไรอธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก*นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน***เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TVและเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดูแล้วทำความจริงเปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมากและเป็นสิ่งที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อยๆสักปีสองปีกว่าคนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้ทำให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง*อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน***กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชนที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้*เปรมเป็นคนวางแผนรัฐประหาร***เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่เรียกว่าอำมาตยาธิปไตยซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณ แน่นอนที่เหลือที่พลเอกพัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริงแล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัวเองว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนปฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์การที่พลเอกเปรมพูดแล้วทำให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้นไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวางแผน แต่ความที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้ซึ่งความจริงมองว่าเป็นการฉวยโอกาสของ คมช.ก็ได้อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้มล้างเห็นได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช.กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้างจากการรัฐประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทยและคนที่ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วยแต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้นเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยมีโอกาสแก้ตัวเลยแต่การพูดย้ำกันเป็นร้อยๆพันๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรมทั้งที่ไม่รู้ความจริงและไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตมากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลยสังคมไทยเราปล่อยให้คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้าการอธิบายเรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบคงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิตใจของตัวเองอาจจะพอได้*ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์***อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้นเกิดขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาลและมีความขัดแย้งสูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่งทำให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริงหลังจากที่สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมากจึงทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวังป้องกันต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีกการอธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทยว่าเหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไรเพราะพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภาเช่นกรณีกล่าวหาว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้ายอภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาสในสภาราวกับเป็นเรื่องจริงเพราะต้องการสร้างเรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไรทุกเรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น*เศรษฐกิจแย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้***เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและถูกทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออก วิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาลแล้วเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลมากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่องให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจนที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทยร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อหลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการแม้จะให้ทำสิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตามหวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วยกันเปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุนในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคมมีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่นๆ คน ร้อยๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอแต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อชาติในครั้งนี้*สรุปส่งท้าย***สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของทักษิณกับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมาอย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่หากเราไม่ทำลายความสามารถในการล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาดไม่ว่าเราจะใช้วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่และอาจจะขยายต่อไปอีก เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จต่างฝ่ายก็จะเชื่อตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่และเราจะไม่มีวันก้าวล่วงความแตกแยกนี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตามฉะนั้นต้องแก้ไขเสียก่อนที่ทักษิณจะตาย สู้กันซึ่งๆ หน้าให้เห็นชัดว่าใครโกหกใครพูดจริง ให้คนค่อยๆ เห็นจริงอยู่อาจจะยาก และอาจจะต้องใช้เวลานานแต่ถ้าไม่เริ่มต้นทำและอดทนทำจนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ เราก็สิ้นชาติ*หลักใหญ่มี 3 ข้อเท่านั้น***1.เปิดโปงการโกหกให้ ความเท็จของทักษิณกับสมุน2.ชี้ให้เห็นว่าความเท็จเหล่านั้น ใช้หลอกลวงมวลชนของตัวเอง3.เราใช้ความจริงที่ พิสูจน์ได้เท่านั้นในการเปิดโปงนี้ และต้องไม่บิดเบือนถ้าเราทำสำเร็จ ตัวชี้วัดจะอยู่ที่การทำให้มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงได้ตาสว่างเห็นความจริง แล้วหันไปโกรธแค้นทักษิณกับสมุน เราจะเห็นสภาพนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยากและจะทำให้ความแตกแยกของคนในชาติจบลงได้ด้วยการเปิดโปงความโกหกหลอกลวงของทักษิณและ สมุน เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้และต้องทำให้มากเท่าๆ กับที่ทักษิณทำ ไม่เช่นนั้นคนจะหลงเชื่อทักษิณต่อไปเราจะไม่มีวันแก้ปัญหาได้ตอนนี้รัฐบาลและคนรู้ทันทักษิณ แทบไม่ได้ทำเลย อย่างมากแค่ด่าๆ ไปแต่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องพูดด้วยคือมวลชนของคนเสื้อแดงพี่น้องร่วมชาติของเราที่ตกเป็นเหยื่อของทักษิณ ถ้าเราละทิ้งเขา ไม่ช่วยเขาเขาก็จะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของทักษิณตลอดไป*ต้องให้ความจริง ปรากฏจนชัดแจ้งต่อคนเสื้อแดงที่เป็นเหยื่อให้ได้***

ข่าวฟอร์เวิร์ดเมล์ เตือนภัยคนกรุงระวังโรนินอาละวาดหลัง18.00น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีฟอร์เวิล์ดเมล์ไปยังประชาชนโดยทั่วไปรวมถึงสำนักข่าวต่างๆ เตือนว่าจะเกิดสถานการณ์ความรุนแรง โดยนักรบชุดดำ ชุดที่ 2 ซึ่งผู้ส่งฟอร์เวิล์ดเมล์ อ้างว่า ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ทราบข่าวมาว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ทำร้ายประชาชน และระเบิดจุดสำคัญในกรุงเทพฯ หลังเวลา 18.00น.จึงขอให้ประชาชนอย่าออกมาจากบ้าน เพราะอาจเกิดอันตราย โดยข้อความเตือนมีดังนี้

---------------

"เตือนด่วน!!!

ได้รับการ confirm แล้ว
นักรบชุดดำชุด 2 ออกมาแล้ว หลัง 18.00 น. จะมีงานใหญ่ . . .


ระเบิดจุดสำคัญ เผาเมือง
ดับไฟ และยิงฆ่าประชาชนทั่วไป


ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับสถานการ์ณทางการเมืองแล้ว
ได้รับคำสั่งมาให้ยิงทิ้งทุกคนที่เดินถนนหลัง 18.00 น. อย่าออกจากบ้านนะ . .


ช่วยเตือนต่อด่วน!!!

ยืนยันแล้ว กองกำลังผสมว้าแดง +
ไทยใหญ่ กระเหรี่ยง เขมร 2,000 นาย กำลังเข้า กทม.ชื่อหน่วยรบ "โรนิน"
ที่เสธ. แดง เคยไปฝึกไว้ กำลังเดินทางเข้า กทม.
ช่วยกันแจ้งด้วยครับ


"จริงเท็จประการใด ช่วยออกมาบอก
มาเตือนด้วยนะครับ"ผู้ชุมนุมโกรธแค้นแกนนำ เผาบ้าน เผาเมือง
เพราะอยู่ดีๆ ก็ไปมอบตัว
เงินก็ไม่ยอมจ่ายอุตส่าห์มานั่งตากแดดตากฝนอยู่ 2 เดือน"

---------------

คณาจารย์จุฬา ออกแถลงการณ์ ค้าน ศอฉ. คุมตัว"สุธาชัย"ที่ค่ายทหารสระบุรี


วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:45:12 น.
มติชนออนไลน์
คณาจารย์จุฬา ออกแถลงการณ์ ค้าน ศอฉ. คุมตัว"สุธาชัย"ที่ค่ายทหารสระบุรี ชี้คุกคามเสรีภาพวิชาการ
คณาจารย์จุฬา ออกแถลงการณ์ ให้รัฐบาล-ศอฉ. รีบยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ล่อแหลมต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขต ชี้คุกคามสิทธิเสรีภาพบุคคล-วิชาการ

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ว่า คณาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามคณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นำโดยนายฉลอง สุนทรวานิช หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และนายนายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติวิธีฯ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องความเป็นธรรมและเสรีภาพทางวิชาการ ระบุว่า

ตามที่เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามหมายจับในความผิดตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 (1) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น และต่อมาถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่ศูนย์การทหารม้าค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี ดังปรากฏเป็นข่าวที่รับทราบทั่วกันแล้วนั้น

คณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยและนักวิชาการผู้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของอาจารย์สุธาชัยขอแสดงความกังวลต่อการใช้ข้อหาดังกล่าวในการออกหมายจับและควบคุมตัวอาจารย์สุธาชัยดังนี้

ประการแรก แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีอำนาจดำเนินการดังกล่าวตามพ.ร.ก. แต่ก็เป็นที่ปรากฏชัดเช่นกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งไม่มีและไม่เคยเปิดเผยหลักฐานชัดเจนหนักแน่นใดๆ อันเป็นองค์ประกอบของฐานความผิดดังกล่าว ที่เป็นเหตุของข้อกล่าวหารุนแรงข้างต้น ให้ผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณชนได้รับรู้ การกระทำดังกล่าวนับเป็นการลิดรอนคุกคามเสรีภาพของบุคคล และโดยเฉพาะในกรณีของอาจารย์สุธาชัย ยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอีกด้วย

ประการที่สอง แม้การใช้อำนาจตามความในพ.ร.ก.ดังกล่าวเป็นไปเพื่อการระงับสถานการณ์ฉุกเฉิน เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของบ้านเมือง และนำสังคมไทยกลับสู่ภาวะปกติ แต่การใช้อำนาจดังกล่าวอย่างครอบคลุมไม่แยกแยะ ปราศจากหลักฐานความผิดที่หนักแน่นชัดเจน ทั้งในกรณีของอาจารย์สุธาชัย และกรณีอื่นๆ มิอาจสร้างสังคมแห่งการปรองดองสมานฉันท์ดังที่รัฐบาลและ ศอฉ. มุ่งหวังและยังอาจนำไปสู่การเพิ่มความหวาดระแวง ความกลัว ความเกลียดชัง และความโกรธแค้น ในสังคมไทยให้ขยายตัว ทวีความเข้มข้นแหลมคมมากขึ้น อันยืนยันได้จากประสบการณ์ทางสังคมและการเมืองของไทยเองในช่วงทศวรรษ 2500-2520

ทั้งนี้ คณาจารย์ฯและนักวิชาการผู้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของอาจารย์สุธาชัย มีความเห็นว่า ทั้งในกรณีของอาจารย์สุธาชัยและกรณีอื่นๆ ที่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้ง สมควรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวคืนเสรีภาพให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาโดยเร็ว

อนึ่ง คณาจารย์ฯและนักวิชาการผู้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของอาจารย์สุธาชัย ใคร่ขอเสนอไปยังรัฐบาลและ ศอฉ. ให้เร่งพิจารณายกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉบับนี้ ซึ่งล่อแหลมต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขต เพื่อให้การจัดการต่อผู้กระทำผิดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมดังที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
------------------------
(ก่อนหน้านี้)
“สมยศ-สุธาชัย” เข้ามอบตัวกองปราบ ก่อนส่งศูนย์การทหารม้าสระบุรีวันที่

24/05/2553 14:05

แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยที่ นายสมยศ ถูกออกหมายจับฐานปราศรัยปลุกระดมให้มีการชุมนุมกลุ่ม นปช.รอบใหม่ ในวันที่ 24 มิถุนายน ส่วน นายสุธาชัย ถูกออกหมายจับฐาน ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากระทำผิด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีร่วมเคลื่อนไหวและปราศรัยหน้าห้างบิ๊กซี ลาดพร้าว ในนามกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย

นายสมยศ กล่าวว่า วันนี้ มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากกลุ่ม 24 มิถุนาฯ ร่วมชุมนุมนั้น เป็นการรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งมีการจัดกิจกรรมทุกปี เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และการที่รัฐบาลอนุมัติศาลออกหมายจับนั้น เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะยืนยันว่า กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

ขณะที่ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการควบคุมตัว แต่เชิญบุคคลทั้งสองมาสอบถามความเห็น ซึ่งหลังสอบปากคำแล้วเสร็จจะนำตัวไปที่ ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี และเจ้าหน้าที่อาจพิจารณาปล่อยตัวก่อนครบกำหนด 7 วัน หากสอบสวนแล้วพบว่า บุคคลทั้งสองไม่มีเจตนาก่อความวุ่นวาย
-------------
(ก่อนหน้านี้)
บุกค้นบ้านพัก ‘สุธาชัย’ สั่งรายงานตัว ศอฉ.พรุ่งนี้

23 พ.ค.53 รายงานข่าวแจ้งว่า ในตอนเช้า เช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างอำนาจ ศอฉ.บุกค้นบ้านพัก รศ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ อย่างไรก็ตาม ขณะบุกค้น รศ.สุธาชัย ไม่อยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งกับทางบ้านว่า ศอฉ. มีคำสั่งให้นักวิชาการท่านนี้เข้ารายงานตัวในตอนเช้าของวันที่พรุ่งนี้ (24 พ.ค.)

วันเดียวกัน สมัชชาสังคมก้าวหน้า และกลุ่มนักวิชาการจัดให้มีการประชุมเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แต่การประชุมต้องล่มเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าทำการแจ้งและมิยอมให้มีการประชุม โดยอ้างอำนาจของ ศอฉ.
------------------
(ก่อนหน้านี้)
จันทร์นี้ศอฉ.สั่งให้ตำรวจรับตัว ดร.สุธาชัย มาสอบเพิ่มเป็นครั้งที่ 2 โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์23 พฤษภาคม 2553

แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ให้ข้อมูลว่า ดร.สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้รับหมายเรียกเป็นครั้งที่สอง โดยมีรายละเอียดดังนี้: -

เช้าวันอาทิตย์นี้ มีตำรวจพร้อมหมายค้นมาค้นบ้าน อาจารย์ ดร.สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่บ้านแต่อาจารย์ไม่อยู่ จึงฝากคำสั่ง ศอฉ.ไว้กับคุณแม่ว่าจะส่งรถตำรวจมารับอาจารย์จากที่บ้านไปสอบเพิ่มเช้าวันจันทร์เวลา 9.00 น. คาดว่าจะถึงกองบัญชาการกองทัพบกเวลา 10.00 น. ขอเชิญมิตรสหายไปให้กำลังใจด้วย

ปัจจุบัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธาชัยเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา กรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทเรื่องกระบวนการทางการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ครั้งที่ 2 (2490-2500) และได้รับทุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระดับปริญญาเอก สาขาวิชาเอก Portuguese History สถาบันการศึกษา UNIVERSITY OF BRISTOL ประเทศ สห
ราชอาณาจักร (อังกฤษ)วิทยานิพนธ์ The Portuguese Lancados in Asia

ผลงาน วิจัย/วิชาการ* 60 ปี ประชาธิปไตยไทย ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชน* เหตุการณ์ 6 ตุลาเกิดขึ้นได้อย่างไร* "ประวัติศาสตร์จิตรกรรมและปฏิมากรมไทย"ใน โครงการ สัตตศิลปะ ด้วยทุนสนับสนุนจากบริษัทปูนซีเมนต์ไทย
--------------------
(ก่อนหน้านั้)
7 พฤษภาคม 2553 13:43
ฟ้อง'นายกฯ-สุเทพ-โฆษกศอฉ.'ใส่ร้ายล้มเจ้าโดย
: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"สุธาชัย"ฟ้องอาญา-แพ่ง"อภิสิทธิ์-สุเทพ-โฆษกศอฉ."ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมิ่นประมาท ย้ำแจกใบปลิวแถลงข่าวมีชื่อติดโผขบวนการล้มเจ้า

วันนี้ (7 พ.ค.53) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก-นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางมายื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี , นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนายการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83 , 90 ,157 และ มาตรา 328

ตามฟ้องโจทก์ ระบุว่าเมื่อระหว่างวันที่ 27-28 เม.ย. 53 จำเลยทั้งสาม ร่วมกันจัดทำแผ่นปลิวโฆษณาที่ระบุว่า มีเครือข่ายของกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ส่อล้มล้างสถาบันเบื้องสูง จากนั้นได้นำไปแจกจ่ายให้กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และสื่อมวลชลทั่วไปเพื่อประกอบการแถลงข่าวว่า โจทก์เป็นบุคคลหนึ่งในขบวนการจาบจ้วง และต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการใส่ความโจทก์ เพราะความจริงแล้วโจทก์เลื่อมใสในการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โจทก์มิได้เป็นเครือข่ายขบวนการจาบจ้วง หรือ ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่พวกจำเลยกล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานทางกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต ปฏิบัติโดยมิชอบ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ศาลรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป

ขณะที่นายสุธาชัย กล่าวว่า ตนโดนใส่ความว่าเป็นคนร้ายมีชื่ออยู่ในแผนผังของกระบวนการล้มเจ้า ซึ่งตนขอปฏิเสธว่าไม่เคยหรือไม่มีพฤติกรรม ในการล้มสถาบัน การที่ศอฉ.ทำแบบนี้ เพื่อต้องการจะใส่รายป้ายสี หรือหาเหตุผลในการสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง

"ผมไม่ทราบว่าผมไปมีชื่ออยู่ในกระบวนการล้มเจ้านั้นได้อย่างไร คือในผังนั้นโยงอยู่ 2 เรื่อง คือการที่ผมไปประกันตัวคุณดา ตอร์ปิโด ต่อให้คุณดาเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าผมนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย ประเด็นที่ 2 คือ ไม่ว่าคุณดาจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลจะต้องตัดสิน แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้พิสูจน์ว่ามีกระบวนการล้มเจ้า คือผมไม่เห็นด้วยกับการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาทำลายกันในประเด็นทางการเมือง" นายสุธาชัย ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้ นายสุธาชัย ยังได้เดินทางไปยัง ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เพื่อยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ กับพวก เป็นคดีดำที่ 1642/2553 เรื่องละเมิดจากกรณีเดียวกัน เรียกค่าเสียหายจำนวน 300,544 บาทอีกด้วย โดยศาลแพ่งรับคำฟ้องไว้แล้วจะมีคำสั่งในการพิจารณาต่อไป

-----------
(ก่อนหน้านี้)
“สุธาชัย” ซัด “เครือข่ายล้มเจ้า” ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์ หวังปราบหนักเหมือน6ตุลา เตรียมฟ้องศอฉ.สัปดาห์นี้
มติชนออนไลน์, 28 เม.ย. 2553
นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีรายชื่อปรากฏอยู่ในแผนผังของ “เครือข่ายล้มเจ้า” ที่ศอฉ.นำมาเผยแพร่ ได้ทำหนังสือแถลงการณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นและระบุว่าเตรียมจะดำเนินการฟ้องร้อง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ ศอฉ. โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

อนุสนธิ์จากการที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกของ ศอฉ.ได้แถลงข่าวในวันจันทร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ โดยกล่าวถึงเครือข่ายที่มีการส่อถึงการล้มสถาบันเบื้องสูง ปรากฏว่าในแผนผังของเครือข่ายกลุ่มบุคคลที่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวถึง ได้ปรากฏชื่อของข้าพเจ้า สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อยู่ในเครือข่ายนั้นด้วย และทำให้พี่น้อง เพื่อนฝูง โทรมาถามข่าวว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร จากนั้น ต่อมา ในวันที่ ๒๗ เมษายน รายการต่างๆ ทางวิทยุ และโทรทัศน์ก็
นำเอาข่าวและแผนผังนี้มาเผยแพร่ และมีรายการบางรายการ ได้โจมตีกลุ่มบุคคลที่ปรากฏชื่อในแผนผังอย่างรุนแรง เป็นการจงใจบิดเบือนให้ร้าย โดยไม่ไต่ถามที่มา หรือข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังออกมาแถลงต่อด้วยซ้ำ ว่าจะออกหมายจับตามรายการนี้อีกด้วย

ในกรณีเช่นนี้ ข้าพเจ้า ในฐานะครูสอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่คงจะไม่มีมหิทธานุภาพที่จะไปต่อกรอำนาจกับ ศอฉ.ได้ แต่ข้าพเจ้าก็มีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องสิทธิของตนเอง ก่อนที่จะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสกปรกทางการเมืองที่มากกว่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องขอแถลงดังนี้

๑. ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายที่มีพฤติกรรมล้มสถาบันใดๆ และไม่เห็นด้วยว่า จะมีเครือข่ายอะไรในลักษณะเช่นนี้ นอกจากการใส่ร้ายป้ายสีที่ ศอฉ.สร้างขึ้นมาเอง เพื่อทำลายล้างทางการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่กำลังต่อต้านและเรียกร้องรัฐบาลให้ยุบสภา
๒. ข้าพเจ้าจะขออำนาจศาลเพื่อคุ้มครองในกรณีที่อาจจะเกิดภัยจากการถูกใส่ร้ายในข้อหาร้ายแรง
๓. เพื่อที่จะปกป้องสิทธิของข้าพเจ้า ก็จะดำเนินการฟ้องร้องแก่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ ศอฉ. โดยจะดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งภายในสัปดาห์นี้
ข้าพเจ้าเห็นว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ คือความพยายามของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะใส่ร้ายป้ายสีผู้บริสุทธิ์ ทำลายสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน และนำเอากรณีล้มล้างสถาบันมาเป็นเครื่องมือ ที่จะกวาดล้างปราบปรามประชาชนเช่นในกรณี ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ซึ่งการกระทำเช่นนั้น คงไม่อาจจะชอบธรรมได้ จึงมีความเห็นว่า รัฐบาลจะต้องเลิกภาวะฉุกเฉินโดยทันที คืนเสรีภาพแก่สื่อมวลชน ต้องยุติการโฆษณาให้ร้ายป้ายสีเรื่องขบวนการล้มเจ้า และหาทางแก้ไขปัญหาการเมืองโดยสันติวิธี จึงจะเป็นหนทางอันถูกต้อง

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
วิชาประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
---------------

สื่อ-คนไทย ตอบโต้CNNบิดเบือนข่าวสงครามกลางเมืองไทย



ที่คณะวารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโครงการระดมความเห็นเรื่อง “ การนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศ ” โดยมีผู้เข้าร่วมหารือในลักษณะการประชุมแลกเปลี่ยน อาทิ นางพรจิต สมบัติพานิช คณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นาย นิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งประเทศไทย นายปารเมศร์ รัชไชยบุญ จากสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิพม์ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ประกอบการเคเบิลทีวี

โดยนาย นิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งประเทศไทย นำคลิปการนำเสนอข่าวของซีเอ็นเอ็นมาเปิดให้ที่ประชุมดูเพื่อเปรียบเทียบกับสำนักข่าวต่างประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็น Al jazeera และ France 24 ขณะเดียวกันที่ประชุมได้มีการวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ( CNN ) เกี่ยวกับวิกฤตการการเมืองไทยอย่างไม่รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข่าวของนายแดน ริเวอร์ ที่ไม่นำเสนอให้รอบด้าน ผิดกับสำนักข่าวอื่นๆที่มีการนำเสนอรอบด้านมากกว่า

“ มุมของผู้ชุมนุม และของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานวันที่ 28 เม.ย. และเหตุการณ์กระชับวงล้อมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีชายชุดดำแฝงอยู่ แต่ซีเอ็นเอ็นกลับเสนอข่าวในมุมของผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ฝ่ายเดียวว่า ถูกทหารใช้ความรุนแรง ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆได้รายงานตรงกันว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ และยิงมาที่ฝ่ายทหารหลายครั้ง จนเหมือนมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนจนกลายเป็นกระบอกเสียงที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่การเสนอคลิปข่าวได้มีภาพ นายแดน รายงานอพาร์ทเมนท์ของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์แต่อย่าง ” นายนิพนธ์ กล่าว
----------------

สื่อจ่อตั้ง กรรมการ ตอบโต้ CNN บิดเบือนไทย เชิญสื่อนอกคุยเหตุรัฐปะทะแดง

สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม จัดประชุมสื่อมวลชนถึงมาตรการต่อการนำเสนอข่าวของ ซีเอ็นเอ็น ต่อเหตุการณ์แดงเผาเมือง ยันพูดแค่บางส่วน ส่อบิดเบือนเหตุ ซ้ำพบหมิ่นสถาบันด้วย จ่อตั้ง กรรมการทำจดหมายตอบโต้ ให้สมาคมนักข่าวต่างประเทศ เชิญสื่อนอกชี้แจง คณบดีวารสารฯ มธ.ซัด “แดน ริเวอร์ส” ทำข่าวขี้เกียจนำเสนอข้างเดียว จี้รัฐเร่งประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงสู่ต่างชาติ “สุกี้” ฉะอยู่ไทยมานานไม่น่าไร้เดียงสา “สมเถา” แนะเชิญดีเบต

24 พค. 2553 19:22 น.

วันนี้ (24 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) ได้จัดประชุมสัมมนาในหัวข้อ บทบาทของ ซีเอ็นเอ็น กับมาตรการทางสังคมของไทย โดยมีตัวแทนจาก สภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ สมาคมการค้าและผู้ประกอบการเคเบิลทีวี สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย คณะวารสารศาสตร์สื่อสารมวลชน นายสมเถา สุจริตกุล นักเขียน และ นายกมล สุโกศล แคลปป์ หรือ สุกี้ วงพรู ผู้ที่เขียนจดหมายโต้แย้งการนำเสนอข่าวของซีเอ็นเอ็น เข้าร่วมการประชุม

นายนิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) กล่าวว่า เนื่องจากการชุมนุมและการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นั้น ได้มีสื่อต่างประเทศเข้ามาทำข่าวเป็นจำนวนมาก โดยการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศส่วนใหญ่ได้นำเสนออย่างเป็นรูปธรรม ยกเว้นแต่ สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ที่มีการนำเสนอข้อมูลเพียงบางส่วน ที่อาจบิดเบือนและขัดแย้งกับเหตุการณ์ อีกทั้งยังมีรายการบางประเภทได้มีการกล่าวไปในเชิงหมิ่นสถาบันสูงสุดของไทย สมาคมฯ จึงได้เชิญผู้แทนสมาคมที่ปฏิบัติงานในวงการสื่อมวลชน ร่วมหารือกันเพื่อพิจารณามาตรการในการตอบโต้การกระทำดังกล่าว

โดยที่ประชุมในวันนี้มีมติตั้งคณะกรรมการร่วมกัน 5 คน เพื่อทำจดหมายถึงสถานีโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น ตอบโต้การนำเสนอข่าวที่บิดเบือนความเป็นจริง และจะให้สมาคมนักข่าวต่างประเทศ เชิญผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าตอบข้อสงสัยการนำเสนอข่าวในพื้นที่



ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.พรจิต สมบัติพานิช คณบดีคณะวารสารศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำเสนอข่าวของซีเอ็นเอ็น ต่อเหตุการณ์ว่า ปัญหาของซีเอ็นเอ็นนั้น คือ การรายงานข่าวที่บิดเบือนของสถานีโทรทัศน์ และ นายแดน ริเวอร์ส ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นประจำประเทศไทย ที่นำเสนอข่าวในลักษณะนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว เสมือนคนอยากได้ข่าว แต่ไม่ลงพื้นที่ อาทิ การรายงานข่าวภายในคอนโดมิเนียม ซึ่งห่างจากพื้นที่การชุมนุมแล้วอ้างว่ามีชาวต่างชาติได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ เพราะถูกกระสุนยิงขึ้นมา เป็นต้น ทั้งนี้ ยอมรับว่า มีเพียงประชาชนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ทราบว่า ซีเอ็นเอ็น นำเสนอข่าวอย่างไม่ตรงตามความจริง ฉะนั้น ก็จะต้องหาวิธีในการเผยแพร่ให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว โดยตนอยากให้รัฐบาลเร่งประชาสัมพันธ์เหตุการณ์ต่างๆ ให้ต่างชาติได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงโดยเร็ว

ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมนั้น นายกมล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้ว นายแดน ได้เข้ามาทำข่าวในประเทศไทยนานแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าเมืองไทยเป็นอย่างไรดี ซึ่งหาก นายแดน เป็นผู้สื่อข่าวต่างชาติที่เพิ่งลงเครื่องบินมาถึง 3 วัน แล้วรายงานข่าวที่ผิดพลาด ก็ยังพอให้อภัยได้ แต่ลักษณะการกระทำดังกล่าวนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ขณะที่ นายสมเถา กล่าวว่า ตนขอเสนอให้เชิญนายแดน มาร่วมดีเบตอธิบายถึงการนำเสนอข่าวของตนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งประชาชนจะได้รู้ว่า นายแดน มีทัศนคติต่อการทำงานในประเทศไทยอย่างไร ด้านผู้ร่วมประชุมรายหนึ่ง กล่าวเสริมว่า กรณีที่ นายแดน นำเสนอข่าวการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ดูเสมือนว่า นายแดน อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น จากการสอบถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่า นายแดน และทีมข่าวซีเอ็นเอ็น ไม่ได้อยู่ในจุดเกิดเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ซีเอ็นเอ็น ได้ภาพดังกล่าวมาจากสำนักข่าวแห่งใด

ที่มา :
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000071601
---------
สุกี้ส่งหนังสือถึงCNNนำเสนอข่าวบิดเบือน 24 พค. 2553 19:23 น.

นายกมล สุโกศล แคล็ปป์ (สุกี้) ศิลปิน กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้ทำหนังสือไปยังซีเอ็นเอ็นแล้ว ว่ามีการนำเสนอข่าวไม่รอบด้าน และบิดเบือน โดยเฉพาะเรื่องความรุนแรงในการปฏิบัติการกระชับวงล้อมต่อผู้ชุมนุมของทหาร ซึ่งในฐานะที่ตนเองมีบ้านอยู่ซอยงามดูพลี ได้ลงมาดูสถานการณ์ตลอด และอยู่ใกล้ๆ กับที่นายแดน ยืนรายงานข่าวด้วย โดยเฉพาะบริเวณสะพานไทย - เบลเยี่ยม แต่เมื่อกลับไปดูข่าวกลับพบว่านายแดนไม่ได้เสนอความจริงทั้งหมด
“ วันที่ 14 พ . ค . ผมยืนอยู่แถวบ่อนไก่ สะพานไทยเบลเยี่ยมอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ยืนยันได้ว่าทหารไม่ได้ใช้กระสุนเลยแม้แต่นัดเดียว มีแต่ทางฝั่งผู้ประท้วงที่ทั้งยิงและขว้างระเบิดมาฝั่งทหาร แต่นายแดน กลับเสนอข่าวเรื่องพลแม่นปืนของทหารเท่านั้น ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอความจริงแบบนี้ ” นายกมล กล่าว

อย่างไรก็ตามที่ประชุมมีมติว่า 1. จะมีการตั้งคณะทำงานชุดเพื่อศึกษากรณีการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศที่เสนอข่าวเพียงด้านเดียว เพื่อหาข้อเท็จจริงมาสร้างความสมดุล 2. จะมีการจัดสัมมนาผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เรื่องการเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมืองไทย เพื่อให้นายแดน ได้อธิบายการทำงานของตนเองด้วยว่ามีมุมมองเรื่องการเมืองไทยอย่างไร 3. การทำหนังสือถึงสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เพื่อรายงานให้ทราบถึงการทำงานของนาย แดน ริเวอร์ ที่นำเสนอข่าวอย่างขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่อยู่ในเมืองไทยมาหลายปี
-------------
ชี้CNNทำงานเพื่อเติมเต็มจินตนาการของชาติตะวันตก
24 พค. 2553 19:22 น.
นายสมเถา สุจริตกุล คอลัมนิสต์อิสระ กล่าวว่า การทำงานของซีเอ็นเหมือนเป็นการทำงานเพื่อเติมเต็มจินตนาการของชาติตะวันตกที่จะออกมาในลักษณะว่าประชาชนต่อต้านเผด็จการทหาร และมักมีจินตภาพว่าทหารต้องฆ่าประชาชน โดยที่ไม่หาความจริงว่าการเมืองไทยมีความซับซ้อนอย่างไร การทำงานของนายแดน ริเวอร์ เหมือนคนขี้เกียจทำการบ้าน โดยคนไทยที่มีความรู้ภาษาอังกฤษต้องช่วยกันนำเสนอความจริงผ่าน social network ต่างๆ เพื่อนำเสนอความจริงอีกด้านให้นานาชาติได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์จริงในประเทศไทยโดยต้องตอบโต้อย่างทันท่วงที -------------------------
APเผยแม้ กทม.สงบลง แต่การต่อสู้ นปช.จะยังไม่ยุติ
24 พค. 2553 13:14 น.
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า แม้เสียงปืนเงียบลง บังเกอร์ของกลุ่มผู้ประท้วงถูกรื้อทำลาย แกนนำผู้ประท้วงเสื้อแดงถูกควบคุมตัวไว้ และกลุ่มผู้สนับสนุนแยกย้ายกลับต่างจังหวัด แต่เป้าหมายของการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยังไม่บรรลุผล และนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะมีการเริ่มต้นครั้งใหม่ของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่เลวร้ายกว่าเดิม โดยการปราบปรามครั้งนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาล่าถอยราบคาบ และหลายคนเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชักใยกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีเป้าหมายเพื่อทวงคืนทรัพย์สินที่ถูกยึด อำนาจ และเกียรติยศ

เอพีรายงานด้วยว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังผลักดันแนวทางปรองดองที่ประกาศไว้ แต่ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาสถาบันหรือบุคคลใดที่จะเข้ามาคลี่คลายวิกฤติในไทยครั้งนี้ได้ เพราะสถานการณ์ดำเนินถึงจุดที่คนในสังคมไทยไม่ไว้างใจซึ่งกันและกัน สังคมแตกแยกและไม่มีใครฟังใคร

-------------------------

ไซต์ตปท.ระบุกรุงเทพฯหวนคืนชีวิตปกติ

24 พค. 2553 10:58 น.
เว็บไซท์หนังสือพิมพ์สเตรท์ ไทม์ส ของสิงคโปร์ รายงานว่า หลังเผชิญเหตุการณ์ความไม่สงบจนตกอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม กรุงเทพฯ ได้หวนคืนสู่ปกติอีกครั้ง เช่นเดียวกับโรงเรียนและสถานที่ราชการที่กลับมาเปิดทำการในวันนี้ แม้ว่า มาตรการเคอร์ฟิวจะยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงคืนนี้ก็ตาม

เมื่อวันอาทิตย์ มีอาสาสมัครหลายร้อยคน ร่วมแรงร่วมใจกันทำความสะอาดถนนในย่านการค้าที่ถูกปกคลุมด้วยเขม่า ซึ่งเป็นการตอบสนองเสียงเรียกร้องของรัฐบาลที่ขอความร่วมมือให้ช่วยกันทำความสะอาดศูนย์กลางกรุงเทพฯ ที่ยังเต็มไปด้วยความวิตกต่อการพลิกฟื้นธุรกิจอย่างรวดเร็ว หลังจากเผชิญการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงนานถึง 6 สัปดาห์ ที่ทำให้ภาคการค้าปลีกและการท่องเที่ยวกลายเป็นอัมพาต ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยต้องเผชิญกับสิ่งที่บางคนเรียกว่า เป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ตลาดหลักทรัพย์ของไทย ได้กลับมาเปิดทำการเต็มวันในวันนี้ หลังจากปิดทำการไปเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ หลังความรุนแรงแพร่ลุกลามออกไป ซึ่งมีรายงานคาดการณ์ว่า หุ้นและค่าเงินบาทของไทย จะร่วง เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองที่ยังเพิ่มขึ้น และยังมีปัจจัยจากการชะลอตัวในภูมิภาคอันเนื่องมาจากวิกฤติในเขตยูโรเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอีกด้วย รัฐบาลมีแผนจะประกาศตัวเลข จีดีพี ช่วงไตรมาสแรกในวันนี้ ที่มีแนวโน้มจะแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวด้วยดี ภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 8 ล้าน 5 แสนล้านบาท หลังเกิดวิกฤติการเงินโลกช่วงระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม แต่ก็เป็นช่วงที่เริ่มสะท้อนให้เห็นผลกระทบจากวิกฤติการเมืองแล้วเช่นกัน
--------------

18, 2010

CNN งานเข้า … เมื่อมีจดหมายเปิดผนึกเวียนในสื่อต่างๆ ถึงการเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลาง เอนเอียงไปฝ่ายเดียว

Zeze Na Pombejra: Open Letter to CNN International
Dear Sirs/Madams,

Recently, CNN Thailand Correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate unbiased news. As of this writing, over thousands of CNN’s viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in Afghanistan, Haiti, Iraq, Iran, etc., in addition to Bangkok.

เร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณืที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าวในกรุงเทพมหานคร

As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the global public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your news network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN’s journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethics to deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country’s internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care to the international populace by reporting single-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.

ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน่าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริตต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้นฐานของการนำเสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้ (และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้นๆด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าวๆ ผิวๆเผินๆ หรือการนำเสนอ/แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้งหมดในภาพรวม

Mr. Rivers and Ms. Snider have NOT done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Mr. Rivers and Ms. Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their followers/sympathizers. Yet, all details about the government’s position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from ordinary Bangkok residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.

คุณริเวอร์ และคุณ ซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่นๆทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟายรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรองๆทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าว

Why the discrepancy in source of information? Why the failure to report all of the government’s previous numerous attempts to negotiate or invitations for protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorized and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians from high altitudes, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by M79 grenade blasts during the Silom incident of April 24, 2010, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red ‘underdogs’.

ทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลายๆครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเม้นท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้ราที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง

Mr. Rivers and Ms. Snider’s choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast or news report, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh, and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against armed soldiers but also against helpless, unarmed civilians and law-abiding apolitical residents of this once blooming metropolis (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) – are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has mislead the various international Human Rights watchdogs to believe the Thai government are sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without just cause.

สิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริงและละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียงกระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลี่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มีเหตุอันควร

As a current resident of "war zone" Bangkok who has experienced the effect of the Red protests first hand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends, and home would get bombed or attacked by the hardcore anti-government vigilantes/paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinize the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the Red Protest leaders and red-sympathizing Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history, and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to Thailand.

ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน “เขตสงคราม” ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่มขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล กองกำลังต่างๆ – ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนละพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิดเบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่นๆนอกเหนือไปจากแกนนำคนเสื้อแดงและคนแปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคม และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย

I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by having endorsed and widely circulated poorly researched and misrepresented news coverage of the current ongoing political unrest and escalating violence in Thailand.

ดิฉันขออ้อนวอนและขอให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง

Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated hereinabove.

สำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดข้างต้น

Thank you.
Yours faithfully,Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.)Bangkok, ThailandMay 17, 2010
นภัส ณ ป้อมเพ็ชร
กรุงเทพฯ ประเทศไทย17 พฤษภาคม 2553

Addendum
Enclosed herewith for your attention and information some examples of other quality international news bulletins by respectable foreign journalists so you may assess at your leisure the sub-par quality and misleading nature of Mr. Rivers and Ms. Sniders' journalism:

พร้อมจดหมายฉบับนี้ ดิฉันได้แนบตัวอย่างข้อมูลจากสำนักข่าวระหว่างประเทศที่มีคุณภาพดี ที่รายงานโดยผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่น่านับถือ เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านได้พิจารณาประเมินข่าวที่ต่ำกว่ามาตรฐานและบิดเบือนของสำนักข่าวของท่านที่รายงานโดยคุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์

1. New York Times:
http://www.nytimes.com/2010/05/16/world/asia/16thai.html
2. Fox News/Associated Press: (i) http://www.foxnews.com/world/2010/05/16/chaos-continues-thailand-govt-rejects-talks-continues-crackdown-killed/(ii) http://www.foxnews.com/world/2010/05/17/thai-red-shirt-general-dies-chaos-continues/
7. Local English daily newspaper’s chronology of events on Day 3 of “War in Bangkok”:http://www.nationmultimedia.com/home/2010/05/17/politics/What-went-down-30129533.html
Youtube Videos, images, articles showing what CNN has failed to circulate:



---------------
นภัส ณ Pombejra เธอจบการศึกษาจาก คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนี่เอง
ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่อังกฤษ ก็ได้เกียรตินิยม เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
2008 นิติศาสตรบัณฑิต (Hons.) (เกียรตินิยม) Queen Mary, University of London, London, UK Queen Mary, University of London, London, UK
2005 BA in Economics (International Program) 2005 ปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) (First Class Honors) (เกียรตินิยม) Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand
napas@siamcitylaw.com