วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โรงแรมขึงป้าย ประท้วงนายกฯ


โรงแรมขึงป้าย ประท้วง แขกหนีบ้านมาร์คติดทั่วซอยวันนี้ นายกยันไม่ย้าย ไปอยู่บ้านพิษฯ รับขวัญแน่นคุก 'นร.'เหยื่อพรก.12พ.ย.53

'โรงแรมยูโร'ยังไร้เงาลูกค้า

ส่วนกรณีนายอนันต์ หะยิมะสา ผู้จัดการโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ซอยสุขุมวิท 31 ตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านพักนายกรัฐมนตรีออกมาวิงวอนให้ช่วยเหลือ เพราะนักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้าพักมาหลายเดือนแล้ว กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีด่านทหาร-ตำรวจพร้อมอาวุธสงครามครบมือเฝ้าอารักขาบ้านนายกฯ เต็มไปหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดบริเวณหน้าบ้านนายกฯ และถนนทุกสายที่เชื่อมถึงบ้านนายกฯ นั้น ยังคงมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร คุมเข้มตลอดทั้งวันเหมือนเช่นเดิม โดยเฉพาะบริเวณประตูทางเข้าหน้าบ้านนายกฯ ยังคงมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนถืออาวุธปืนทาโวร์อยู่เช่นเดิม ส่วนบรรยากาศภายในโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ยังคงเงียบเหงา ไม่มีนักท่องเที่ยวติดต่อเข้าพักเช่นกัน

-คนแห่ยื่นมือช่วยโรงแรม

นายอนันต์กล่าวว่า ภายหลังจากที่ข่าวสดได้มีการเสนอข่าวความเดือดร้อนของโรงแรมยูโรฯไปแล้วนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดหรือหน่วยงานใด หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่รักษาความสงบอยู่หน้าบ้านนายกฯ ติดต่อประสานงานยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว มีเพียงแต่พี่น้องประชาชนโทร.มาให้กำลังใจ ซึ่งมีอยู่หนึ่งรายยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือ โดยการสอบถามเรื่องของราคาค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่พัก และจะนำเสนอเรื่องราวความเดือดร้อนผ่านหนังสือนิวส์สคริปญี่ปุ่น เพื่อเชิญชวนคนญี่ปุ่นเข้ามาพัก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น

นายอนันต์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่งติดต่อเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ ซึ่งตนก็ตอบรับไปแล้ว ทั้งนี้ หากสื่อต่างๆ ช่วยกันนำเสนอข่าวความเดือดร้อนดังกล่าวเชื่อว่านายกฯ อภิสิทธิ์อาจจะยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือในเร็วๆ นี้ ส่วนการช่วยเหลือที่ผ่านมานั้น ทั้งเรื่องการผ่อนผันการชำระค่าไฟฟ้าน้ำประปา หรือการปล่อยให้กู้เงินเอส เอ็มอี ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ช่วยเหลือที่ต้นเหตุ เพราะต้นเหตุคือนักท่องเที่ยวกลัวมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธสงครามหน้าบ้านนายกฯ

-ไม่ได้ท้าทายแต่เดือดร้อนจริงๆ

"ที่ผ่านมาโรงแรมของเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักเต็มทุกวัน กระทั่งช่วงที่มีเหตุการณ์การชุมนุม นักท่องเที่ยวก็เริ่มที่จะหาย โดยเฉพาะช่วงที่มีการชุมนุมหน้าบ้านนายกฯ และหลังจากเกิดเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โรงแรมของเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 2-10 ห้องเท่านั้น จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นแม้แต่น้อย ตอนนี้เราเดือดร้อนมาก เราไม่ได้ต้องการไปต่อสู้ หรือไปท้าทาย กดดันนายกฯ เพียงแต่เราวิงวอนหรือขอร้องนายกฯ ช่วยยื่นมือเข้ามา ให้การช่วยเหลือเราโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นเราคงอยู่ไม่ได้นาน" นายอนันต์กล่าว

ผู้จัดการโรงแรมยูโรฯ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเราเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรม เพื่อไปเสนอโปรโมชั่นพิเศษของโรงแรม หรือแม้แต่โทร.ติดต่อไปยังลูกค้าประจำ เพื่อให้เขาสนใจชักชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักเหมือนเดิม แต่เมื่อนักท่องเที่ยวถามว่าโรงแรมอยู่ที่ไหน พอรู้ว่าอยู่ติดบ้านนายกฯ เขาปฏิเสธทันที และยื่นยันว่าไม่ไปพักแน่นอน รวมถึงคำตอบที่ว่าหากบ้านนายกฯ ไม่ย้ายไปโรงแรมก็ต้องย้าย ตอนนี้เราขายห้องพักไม่ได้เลย

-เตรียมขึงป้ายยักษ์วอนอีกครั้ง

"ดังนั้น เราจะรอการประสานมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแม้แต่นายกฯ จนถึงวันที่ 12 พ.ย. เวลา 18.00 น. หากไม่มาเราเตรียมมาตรการขั้นต่อไปคือการขึ้นป้ายผ้าขนาดใหญ่มีขนาดความกว้าง 1.10 เมตร ยาวขนาด 4.30 เมตร จำนวน 2 ผืน โดยผืนแรกจะติดไว้ตรงข้างโรงแรมหน้าทางเข้าลานจอดรถของโรงแรม ส่วนผืนที่สองจะติดตรงหน้าโรงแรมฝั่งตรงข้ามบ้านนายกฯ โดยเขียนข้อความว่า 'ท่านนายกครับ.......ลูกค้าไม่กล้ามา เพราะกลัว ธุรกิจเสียหายหมด' และ 'ท่านนายกครับ.....ช่วยประสานผู้มีอำนาจ เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจตรงข้ามบ้านท่านให้รอดตายด้วยน่ะครับ' เมื่อนายกฯ เดินทางออกจากบ้านจะได้เห็นความเดือดร้อนของเราชัดๆ" นายอนันต์กล่าว และว่า นอกจากนี้เรายังจัดทำป้ายผ้าขนาดความกว้าง 60 เซนติ เมตร ยาวขนาด 1 เมตร จำนวน 10 ผืน นำไปติดไว้กับโครงเหล็ก และนำไปตั้งไว้ริมฟุตปาธ เพื่อให้คนที่สัญจรไปมาหน้าบ้านนายกฯ เห็นกันอย่างทั่วถึง และหากยังไม่มีสัญญาณอะไรตอบกลับมาเราก็เพิ่มมาตรการให้เข้มข้นขึ้นอีก เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้โรงแรม และพนักงานของเราอยู่รอดให้ได้

-'มาร์ค'อ้างเคยช่วยไปแล้ว

วันเดียวกัน ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีโรงแรมยูโร แกรนด์ ร้องเรียน ว่า เขาเคยร้องเรียนมาก่อนหน้านี้ และเราเคยมีมาตรการที่ให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่เคยช่วยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง แต่เมื่อเขามีปัญหาเพิ่มตนก็ส่งให้ทางนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐ มนตรี และนางอัญชลี วานิชเทพบุตร รองเลขาธิการนายกฯ ช่วยดูแลให้ ก่อนหน้านี้เราเคยช่วยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขามีปัญหาเพิ่มเราก็จะมาดูให้

เมื่อถามว่า เป็นเพราะอะไรทำไมทางโรงแรมจึงร้องเรียนมาว่าไม่มีแขกมาพัก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องไปดูเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องบางครั้งอาจมีการไปเตือนหรือเปล่า ตนไม่ทราบว่าบริเวณนี้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอยู่กันมาก แต่ความจริงเราได้ดูแลไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมีปัญหาเพิ่มเดี๋ยวก็จะดูแลว่ามันมีปัญหาอะไรที่คิดว่าจะช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์

-ยันไม่ย้ายไปอยู่บ้านพิษณุโลก

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากต้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนายกฯ จนทำให้ประชาชนวิตกและหวาดกลัว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ก็พูดยาก เพราะจริงๆ ธุรกิจต่างๆ ในซอย (สุขุมวิท 31) ก็มีเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาทั้งหมดก็ต้องไปดู"

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯ จะย้ายไปพำนักที่บ้านพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านรับรองแทนเพื่อให้เกิดความสะดวกกับทุกฝ่าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สภาพปัจจุบันก็ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่
ต่อข้อถามว่านายกฯ ได้เคยคุยกับเจ้าของโรงแรมบ้างหรือยัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เคย ทางเจ้าของโรงแรมดังกล่าวเคยมาพูดคุยกับตน และเคยให้การช่วยเหลือกันไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งเขายังมาขอบคุณ แต่ต่อมาเข้าใจว่ามีปัญหาเพิ่มเติมก็ต้องไปดูตามข้อเท็จจริง

-แฉทีมรปภ.วันละ 1 กองร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีนั้น ยังคงอยู่ในชั้นสูงสุดของมาตรการ ซึ่งในการดูแลรักษาความปลอดภัยได้แบ่งเป็นส่วนของการรักษาความปลอดภัยในส่วนของสถานที่ และการรักษาความปลอดภัยในส่วนของบุคคลสำคัญ ซึ่งตามระเบียบแล้วบริเวณบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 31 นั้นขึ้นตรงกับ สน.ทองหล่อ ซึ่งในการดูแลรักษาความปลอดภัยนั้นก็ขึ้นตรงกับบก.น.5 ซึ่งขึ้นตรงกับกองบัญชาการตำรวจ นครบาล แต่เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ กทม.ยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนั้น จึงยังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานของทหารหรือตำรวจที่เป็นผู้ดูแลโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติปัจจุบันแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ของตัวเองเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีทั้งตำรวจ ทหาร โดยแต่ละวันมีไม่น้อยกว่า 1 กองร้อย และส่วนใหญ่ต่างสวมเสื้อชุดดำ สวมแว่นตาดำ เมื่อออกปฏิบัติหน้าที่ก็จะทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสับสน และหวั่นวิตกเนื่องจากไม่ชัดเจนว่าตกลงเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือฝ่ายก่อความไม่สงบกันแน่ อีกทั้งในยามค่ำคืนหรือช่วงเข้า-ออกจากบ้านพักของนายกฯ และบุคคลในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็จะดูแลรักษาความปลอดภัยเข้มงวด และบางครั้งก็ติดอาวุธครบมือด้วย

-มีมากจนจนท.เองก็ยังสับสน

"แม้แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ด้วยกันเอง บางครั้งก็ยังไม่รู้เลยว่าใครมาจากหน่วยไหนกันบ้าง เพราะต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน อีกทั้งก็ยอมรับว่าการประสานงานบางครั้งยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ต่างฝ่ายต่างฟังเฉพาะคำสั่งจากหน่วยงานต้นสังกัดตัวเองเท่านั้น" แหล่งข่าวจาก รปภ.ระบุ

ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยรักษาความปลอด ภัยบุคคลนั้น ในการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีมีการส่งเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้ามาดูแล ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.21 หน่วยทหารจากกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (สห.ทบ.) หน่วยอากาศโยธิน หน่วยรบพิเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นนายเวรใกล้ชิด

-ทบ.กำชับชุดรปภ.ให้ระวัง

แหล่งข่าวกองทัพเปิดเผยว่า ทีมรักษาความปลอดภัยให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ในส่วนที่เป็นทหาร ปัจจุบันกองทัพได้ส่งทหารจากหน่วยกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ ร.21 รอ. ทหารเสือราชินี จำนวน 2 ชุด ชุดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) และทหารจากหน่วยอากาศโยธิน ของกองทัพอากาศ ชุดละไม่เกิน 10 นาย โดยเป็นชุดส่วนล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง และชุดอารักขาติดตามรักษาความปลอด ภัย โดยทหารทั้งหมดจะไม่สวมเครื่องแบบ ทำงานด้วยการใส่ชุดนอกเครื่องแบบ เช่น แจ๊ก เกตสูท หรือสูทสีดำ ส่วนทหารที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยที่บ้านจะใช้ชุดสารวัตรทหารบก (พัน.สห.11) จำนวน 12 นาย

แหล่งข่าวแจ้งว่า กรณีที่โรงแรมยูโร แกรนด์ร้องเรียนนั้น ทางทหารที่เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยทุกคนรู้จักหน้าที่ของตนเอง คิดว่าไม่มีการไปยืนรอบโรงแรม เพื่อให้เขาเกิดความเดือดร้อนแน่ แต่เมื่อมีข่าวเกิดขึ้นก็จะกำชับทหารที่ไปทำหน้าที่ให้ระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนของทุกฝ่าย เราก็เข้าใจเพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ทางโรงแรมอาจประสานหัวหน้าชุดของทหาร ตำรวจที่ทำหน้าที่ก็ได้ ดีกว่าไปร้องหนังสือพิมพ์ให้เกิด
เป็นข่าว

“ประยุทธ์” เตือนครั้งที่ 1 เสื้อแดง-ล้มเจ้าหยุดสร้างสถานการณ์ป่วน !!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

8 พฤศจิกายน 2553 23:49 น.

ผ่าประเด็นร้อน

อาจเป็นเพราะเกิดอาการหวั่นไหวจากคำพูดแข็งกร้าวออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำภายใต้บุคลิกชายชาติทหารของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เตือนพวก “ขบวนการล้มเจ้า” ว่าให้หยุดเคลื่อนไหวไม่เช่นนั้นจะถูกจัดการตามกฏหมายขั้นเด็ดขาด รวมไปถึงที่ผ่านมาในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สั่งห้ามไม่ให้แกนนำเสื้อแดงชุมนุมในช่วงที่เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คีมูน เยือนประเทศไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

จากนั้นก็เริ่มมีการดำเนินคดีกับบุคคลที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง บางคนที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ลอยนวลมานานเป็นปี แต่ล่าสุดก็ถูกจับกุมดำเนินคดี เช่น กรณีของ สุชาติ นาคบางไทร เป็นต้น รวมไปถึงการ “กระชับพื้นที่” ไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เช่น “ไอ้กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง พายัพ ปั้นเกตุ และ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการตรวจค้นจับกุมวิทยุชุมชนที่ผิดกฎหมาย ออกอากาศปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งหลายแห่งในหลายจังหวัด ขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็มีการไล่ปิดเว็บไซต์ที่ให้ร้ายสถาบันอีกจำนวนมาก

ทั้งคำพูดรวมไปถึงมีการดำเนินการตามกฎหมายที่ตามมา แม้ว่านาทียังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องโยงใยกันหรือไม่ แต่ก็บังเอิญว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่หลังกันมาติดๆ พอดี

อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นภาพของนายทหารในฐานะผู้บัญชาการทหารบกที่มีภารกิจหลักอีกอย่างหนึ่งก็คือพิทักษ์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และในฐานะทหารที่เติบโตในสายของ “ทหารเสือราชินี” ซึ่งจากท่าทีและบทบาทดังกล่าวของเขาทำให้ได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งกลับสร้างผลสั่นสะเทือนกับเครือข่ายล้มเจ้าทั้งขบวน เพราะการเคลื่อนไหวทำได้ลำบากมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งในที่นี้ก็ย่อมหมายรวมถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็นระดับหัวหน้าขบวนการไล่เรียงลงมาจนถึงระดับปลายแถวในระดับแกนนำคนเสื้อแดง ฯลฯ เพราะในความเป็นจริงคนเหล่านี้ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกันมานาน ทั้งในและนอกสภา บนดินและใต้ดิน ด้วยอาการสั่นไหวดังกล่าวจึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีรายการ “ตีปลาหน้าไซ” หรือ “ดักคอ” เอาไว้ก่อน โดยเฉพาะการปลุกกระแสปฏิวัติขึ้นมา ทางหนึ่งก็เพื่อสร้างเงื่อนไขในการสร้างกระแสมวลชนขึ้นในช่วงที่กำลังมีการเคลื่อนไหวในเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปจนถึงธันวาคมและปีใหม่ โดยภาพที่ปรากฏในเวลานี้ก็คือพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมด้วยแกนนำเสื้อแดงกำลังเดินสายปราศรัยโจมตีรัฐบาลในภาคอีสาน

ที่น่าสนใจก็คือ การปราศรัยของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ระบุว่า ทหารจะก่อการรัฐประหาร !! น่าสนใจตรงที่ว่า ได้รับการตอบโต้อย่างทันควันจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะรู้ทันพร้อมเตือนสวนกลับไปในทำนองให้ “หยุดสร้างสถานการณ์ป่วน เพื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่” หรือให้หยุดพฤติกรรมสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้ตัวเขาในทำนองว่าต้องการ “อำนาจ” อะไรประมาณนั้น เป็นลักษณะของการดักทางเอาไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันยังตอบโต้กลับไปอย่างทันควันว่ายังมี “บางกลุ่ม” ที่ไม่ต้องการบ้านเมืองสงบ

คำพูดของผู้บัญชาการทหารบกที่ออกมาครั้งนี้ บังเอิญว่าไปสอดคล้องกับข่าวจากฝ่ายความมั่นคงว่าความเคลื่อนไหวที่ก่อเหตุวุ่นวายในช่วงเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปจนถึงปีใหม่ดังกล่าว ตามที่ฝ่ายความมั่นคงได้ออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้

ถ้าให้สรุปภาพรวมจากการเคลื่อนไหวของและท่าทีของแต่ละฝ่าย เริ่มจากเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ก่อนต้องยอมรับว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้การเคลื่อนไหวของแกนคนเสื้อแดงสะดุดลงไม่น้อย ซึ่งคนเสื้อแดงในที่นี้ยังหมายรวมถึง “ขบวนการล้มเจ้า” ที่เป็นเนื้อเดียวกันมานานอีกด้วย

ขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็นการเตือนอย่างตรงๆ เข้มๆ ไปถึงกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ป่วนในบ้านเมืองแล้วโยนความผิดให้ทหาร และการปลุกกระแสปฏิวัติขึ้นมาเพื่อให้ภาพของกองทัพดูติดลบ แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือการรู้ทันจึงต้องรีบบล็อกเอาไว้ก่อน และแน่นอนว่าความหมายคงไม่ใช่ต้องการสื่อไปถึง จตุพร พรหมพันธุ์เป็นแน่ เพราะในความเป็นจริงถือว่าปลายแถวและไร้ราคาเกินไป แต่ต้องการสื่อไปให้ไกลกว่านั้น ทั้งหัวหน้าขบวนการล้มเจ้าและ “ทหารแก่โรคจิต”บางคนมากกว่า

ดังนั้นเมื่อเริ่มขยับเข้ามาอีกรอบ ขณะที่อีกฝ่ายก็รู้ทันและเตรียมตอบโต้แบบทันควัน ทำให้เชื่อว่าในเกมใต้ดินจะต้องโรมรันพันตูกันอย่างถึงพริกถึงขิงแน่นอน !!

----------------------

ผบ.ทอ.ยันไม่ได้สั่งพักราชการ "น.ต.ชนินทร์"เผยไม่รู้เป็นลูกน้องใคร คนเพชรสงสัยเป็นหลานกำนันช้อง

11พ.ย.53

ผบ.ทอ. ยันไม่ได้สั่งพักราชการ "น.ต.ชนินทร์"เผยไม่รู้เป็นลูกน้องใคร คนเพชรสงสัยเป็นหลานกำนันช้อง คล้ายคลึง เครือญาติ"ราชศักดิ์"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายช่าง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศโพสท์ข้อความหมิ่นสถาบันว่า หากทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย และได้เคยเน้นย้ำผู้บัญชาการเหล่าทัพในการประชุมสภากลาโหมไปแล้วว่า อย่าให้กำลังพลโพสท์ข้อความหมิ่นสถาบัน ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนนายทหารคนดังกล่าวต้องถูกลงโทษตามระเบียบวินัยของทหารอากาศ


พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวว่า รายละเอียดกำลังสอบสวนอยู่ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้านวินัย ส่วนความผิดทางด้านกฎหมายเป็นหน้าที่ของตำรวจจะดำเนินการ เมื่อถามว่าการโพสท์ข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเป็นกระบวนการ พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่า น.ต.ชนินทร์เป็นลูกน้องใคร ต้องรอการตรวจสอบก่อน


ผู้สื่อข่าวถามถึงโทษสูงสุดของการหมิ่นสถาบัน พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า อยู่ที่เข้าข่ายความผิดข้อใด หากเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.ว่าความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งตำรวจกำลังดำเนินการอยู่หากตำรวจต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ทางกองทัพอากาศให้ความร่วมมือเต็มที่ โดย น.ต.ชนินทร์ต้องไปแก้ข้อกล่าวหาเอง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้สั่งพักราชการหรือกักบริเวณ น.ต.ชนินทร์แต่อย่างใด เพราะอยู่ในการขั้นตอน ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเฟซบุ๊คของ น.ต.ชนินทร์ ถูกปิดไปเรียบร้อย ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รุมโจมตี น.ต.ชนินทร์ อย่างรุนแรง โดยนำภาพและข้อมูลส่วนตัว เช่น ภาพสมัยเป็นนักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายเรืออากาศ รวมถึงภาพที่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง มาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และเต็มไปด้วยอารมณ์

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่า น.ต. ชนินทร์ มีนามสกุลคล้ายกับ "นายช้อง คล้ายคลึง " อดีตสมาชิกสภาจังหวัดเพชรบุรี และอดีตกำนัน ตำบลช่องสะแก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี สำหรับ นายช้อง คล้ายคลึง ตามประวัติแล้ว เป็นคนจริง รักพวกรักพ้อง มีจิตใจกว้างขวาง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การเคลื่อนไหวและสภาพทางสังคม เป็นเหตุให้ชีวิตของนายช้อง คล้ายคลึง เป็นชีวิตแห่งการต่อสู้โลดโผนตลอดมา

ปี พ.ศ. 2522 ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ นายช้อง คล้ายคลึงจึงได้ลาออกจากตำแหน่งกำนัน และตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด มาสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งถูกคนร้อยลอบยิงเสียชีวิต ในขณะที่กลับจากหาเสียงที่ อ. เขาย้อย จ. เพชรบุรี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2522 เวลาประมาณ 01.00 น. รวมอายุได้ 35 ปี

จากการเมืองในรุ่นกำนันช้องมาสู่รุ่นหลาน ในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 หลานกำนันช้อง คนหนึ่งชื่อ ราชศักดิ์ คล้ายคลึง ได้ลงเลือกตั้งในเขต 1 จ.เพชรบุรี ในนามพรรคไทยรักไทย แข่งกับนายอลงกรณ์ พลบุตร พรรคประชาธิปัตย์ ครั้งนั้น "โอ๊ค" นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มาช่วยหาเสียงให้กับนายราชศักดิ์ แต่เมื่อผลเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่า นายราชศักดิ์ พ่ายแพ้นายอลงกรณ์
เมื่อสอบถามไป ชาวบ้านในตำบลช่องสะแก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรีผู้หนึ่ง ได้รับการบอกกล่าวว่า น.ต. ชนินทร์ น่าจะเป็นหลานกำนันช้อง คล้ายคลึง

แผนปรองดอง..ชาละวันแต๋วแตก ชิมิ ชิมิ?

แกะรอย"ลับลวงพราง"แบบ"หนั่น"มือปรองดอง"มาร์ค-แม้ว"เชื่อม3ตระกูลดัง-โยกหุ้นให้ลูกก่อนนั่งรมต.

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:39:39

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี อันเนื่องมาจากยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเงินกู้ 45 ล้านบาท

หลังพ้นโทษกลับเข้ามาเล่นการเมืองและมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

ล่าสุด พล.ต.สนั่นรับบทตัวกลางเจรจาหาทางปรองดองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงขั้นบินไปพบอดีตนายกฯผู้อื้อฉาวถึงประเทศนอร์เวย์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นการเจอกันโดยบังเอิญ

ท่ามกลางคนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า การเดินเกมของนักการเมืองใหญ่ในครั้งนี้ "ซ่อน" นัยทางการเมือง หรือไม่?

กระนั้นก่อนที่จะ "อ่าน" และ "สรุป" พล.ต.สนั่นขอให้ดู "ความเป็นเลิศ" พล.สนั่นในแง่มุมดังต่อไปนี้

ตอนเป็น ส.ส.พิจิตร วันที่ 22 มกราคม 2551 พล.ต.สนั่นแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มีทรัพย์สิน 110,190,748 บาท หนี้สิน 7,219,727 บาท นางฉวีวรรณ ภรรยา มี 38,027,098 บาท ไม่มีหนี้สิน รวม 2 คน 148,217,846 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 140, 998,118 บาท

พล.ต.สนั่นมีเงินลงทุน 12 รายการ มูลค่า 7,438,602 บาท ได้แก่บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด 1,000 หุ้น มูลค่า 1 แสนบาทBLAND 8,000,000 หุ้น มูลค่า 5,760,000 บาทหุ้น KMC 1,046,732 หุ้น มูลค่า 659,441 บาท,หุ้น KMC-W 1 จำนวน 139,998 หุ้น มูลค่า 19,599 บาทหุ้น SAMTEL 50,000 หุ้น มูลค่า 377,500 บาทหุ้น TMB 15 หุ้น มูลค่า 17 บาทหุ้น TRAF 43,760 หุ้น มูลค่า 312,884 บาทหุ้น TT&T 75,000 หุ้น มูลค่า 52,500 บาทหุ้น TRAF (ลูกหุ้น) 87,520 หุ้น มูลค่า 156,668 บาท และUOB 12 หุ้น ไม่มีมูลค่า

เลิกกิจการแล้ว ได้แก่บริษัท เพอร์มาเน็กซ์ อินเตอร์ทรานส์ จำกัด บริษัท รวมชนชาวไทย จำกัด และ บริษัท ขจรสยาม จำกัด นางฉวีวรรณถือหุ้น 6 รายการ ได้แก่บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด 1,000 หุ้น มูลค่า 1 แสนบาทบริษัท ทรัพย์นิชากร ทาวน์เฮ้าส์ จำกัด 1,016 หุ้น มูลค่า 101,600 บาทบริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาทบริษัท ขจรฟาร์ม รีสอร์ท จำกัด 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาทบริษัท ไทยแอร์ เซอร์วิส จำกัด 150 หุ้น มูลค่า 150,000 บาท และบริษัท ทรัพย์สารสิน จำกัด 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 รับตำแหน่งรองนายกฯ ครม.สมัคร พล.ต.สนั่นมีทรัพย์สิน 103,158,806 บาท เงินลงทุนเพียง 1 รายการ คือหุ้น TRAF (ลูกหุ้น) 87,520 หุ้น มูลค่า 156,660 บาท หนี้สิน 296,578 บาท นางฉวีวรรณมี 37,175,488 บาท ไม่มีเงินลงทุน ไม่มีหนี้สิน รวมทรัพย์สิน 140,334,294 บาท เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 140,037,715 บาท

เมื่อเปรียบเทียบ 2 ครั้ง เงินลงทุนของ พล.ต.สนั่นและนางฉวีวรรณลดลง 8,133,552 บาท
จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 พล.ต.สนั่นและนางฉวีวรรณได้โอนหุ้นไปให้บุตรสาวอย่างน้อย 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด, บริษัท ทรัพย์นิชากร ทาวน์เฮ้าส์ จำกัด, บริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด, บริษัท ขจรฟาร์ม รีสอร์ท จำกัด

อีก 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยแอร์เซอร์วิส จำกัด โอนให้นายวุฒิศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ กลุ่มซีทีไอทาวเวอร์ ซึ่งเกี่ยวโยงคดีเงินกู้ 45 ล้าน

ทั้งนี้ บริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สนามบินน้ำมาร์เก็ตพาร์ค จำกัด) ก่อตั้งวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ทุนจดทะเบียน ล่าสุด 25 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนรายการอื่นไม่พบข้อมูลว่าโอนไปให้ใคร ?

วันที่ 25 กันยายน 2551 ตอนเป็นรองนายกฯ รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.สนั่นแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 103,105,584 บาท หนี้สิน 4,624,576 บาท นางฉวีวรรณ 37,184,690 บาท ไม่มีหนี้สิน รวม 2 คน 140,290,275 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 135,665,699 บาท

วันที่ 22 ธันวาคม 2551 ตอนเป็นรองนายกฯ ครม.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พล.ต.สนั่นแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 103,101,482 บาท หนี้สิน 3,694,671 บาท นางฉวีวรรณแจ้งว่า มีทรัพย์สิน 37,184,690 บาท ไม่มีหนี้สิน รวมทรัพย์สิน 140,286,173 บาท มีทรัพย์สินมากว่าหนี้สิน 136,591,502 บาท

การยื่นบัญชี 2 ครั้งหลังสุด ไม่มีเงินลงทุนอีกต่อไป

กล่าวสำหรับ นางสาวบงกชรัตน์ นางสาวปัทมารัตน์ และ นางสาววัฒนีพร ขจรประศาสน์ ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ 9 บริษัท

1.บริษัท รอยัล ลานนา ทาวเวอร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 กันยายน 2533 ทุน 142 ล้านบาท 2.บริษัท ชาละวัน จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 ทุน 25 ล้านบาท 3.บริษัท บงกช ส่งออกและนำเข้า จำกัด จดทะเบียน 26 มกราคม 2544 ทุนจ 21 ล้านบาท4.บริษัท น้ำดื่มบงกช จำกัด จดทะเบียน 15 สิงหาคม 2546 ทุน 1 ล้านบาท 5.บริษัท วี-วัน กอล์ฟ จำกัด จดทะเบียน 23 กันยายน 2545 ทุน 1 ล้านบาท 6.บริษัท สนามบินน้ำมาร์เก็ตพาร์ค จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท สนามบินน้ำไดร์ฟวิ่งเรนจ์ จำกัด) จดทะเบียน 13 กุมภาพันธ์ 2547 ทุน 25 ล้านบาท7.บริษัท ซิลเวอร์ คอยน์ จำกัด จดทะเบียน 14 กันยายน 2548 ทุน 55 ล้านบาท ประกอบธุรกิจเกมส์ออนไลน์ 8.บริษัท ทรัพย์สารสิน จำกัด จดทะเบียน 26 ธันวาคม 2546 ทุน 1 ล้านบาท 9.บริษัท ชาละวัน ไวน์เนอรี จำกัด จดทะเบียน 6 พฤศจิกายน 2545 ทุน 10 ล้านบาท

ในจำนวนนี้ 1 บริษัทลงทุนร่วมกับนายประสงค์ โฆษิตานนท์ นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ และ ร้อยโทชวลิต เตชะไพบูลย์ ชื่อบริษัท ชาละวัน จำกัด ผลิตไวน์ อยู่ในจ.พิจิตร โดยนายประสงค์ ถือหุ้น 20% นายวินัย 10% ร้อยโทชวลิต 9.9% นางสาวบงกชรัตน์ นางสาวปัทมารัตน์ และนางสาววัฒนีพร ขจรประศาสน์ ถือหุ้นคนละ 15%

ทั้งหมดคือ"นวัตกรรม"ของรองนายกฯ ในวันที่บอกใครๆ( อีกครั้ง)ว่าถ้าปรองดองสำเร็จจะวางมือทางการเมือง

--------------

“เสธฯหนั่น”คุย นช.ทักษิณ เส้นทางไปสู่นายกฯ สำรอง บนภาพลวงสร้างปรองดอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 พฤศจิกายน 2553 23:55 น.

การกลับมาทำงานที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ของพลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี จากชาติไทยพัฒนา ในวันนี้(อังคารที่ 9 พ.ย.) ซึ่งมีนัดจะแถลงข่าวเกี่ยวกับการไปพบนช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศนอรเวย์

“เสธฯหนั่น”คงต้องตอบคำถามข้อสงสัยของสังคมมากมายหลายประเด็นข้อสงสัยต่อกรณีที่มีการอ้างจากนพดล ปัทมะ โทรโข่งประจำตัวนช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุว่าเสธฯหนั่นได้มีการพบปะพูดคุยถึงแนวทางการปรองดองทางการเมืองกับนช.ทักษิณ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ ระหว่างที่ทั้งสองคนเจอกันในงานกฐินพระราชทาน 9 วัด 9 ประเทศ อันมีเสธฯหนั่นเป็นตัวแทนของฝ่ายรัฐบาลไปดำเนินการเรื่องนี้ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลงานของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

หากดูตามคำแถลงของนพดล ที่รีบชิงนัดหมายสื่อมวลชนแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นั่นย่อมหมายถึงว่า นพดลได้รับคำสั่งมาจากนายใหญ่ ทักษิณ แล้วว่าให้แถลงข่าวเรื่องการพบกันของทักษิณกับเสธฯหนั่นเพื่อให้คนไทยและรัฐบาลไทยได้รับรู้ในการพบกันของ

รองนายกรัฐมนตรีจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย-ผู้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกในคดีอาญา และการตกเป็นผู้ต้องหาหนีคดีตามหมายจับอีกจำนวนมาก ที่ทักษิณถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ จนถูกกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับไปยังตำรวจสากลทั่วโลก ย่อมไม่ธรรมดา

“เสธฯหนั่น”พบ “ทักษิณ”ระหว่างงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดไทยในประเทศนอร์เวย์ แถมยังเป็นการพบกันแบบที่ทักษิณ ภาคภูมิใจจนต้องรีบให้นพดลออกมาแถลงข่าวล่วงหน้า
นี้คือการตบหน้ารัฐไทยฉาดใหญ่ของทักษิณ นักโทษและจำเลยหลบหนีคดีของศาลไทย

เสธฯหนั่น ซึ่งเล่นบทคนกลาง-นักปรองดอง ชนิดข้ามหน้าข้ามตา อภิสิทธิ์ มาตลอด จะมีท่าที และคำชี้แจงในเรื่องนี้อย่างไร ต้องติดตาม แต่คงคาดเดาได้ไม่ยาก เช่น ไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้า ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะได้เจอทักษิณ เพื่อเป็นการเซฟตัวเองในทางหนึ่งด้วย

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็หมายถึงว่า นพดล อดีตรมว.ต่างประเทศ ให้ข่าวไม่ตรงความเป็นจริง เพราะนพดลบอกกับสื่อมวลชนว่า ก่อนหน้าการพบกันดังกล่าวทั้งสองคนน่าจะมีการพูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว

เรื่องทั้งหมดต้องรอฟังจากปากเสธหนั่นดีที่สุด ว่าจะตอบทุกข้อสงสัยอย่างไร ?

โดยเฉพาะคำถามถึงเรื่องความเหมาะสมที่เสธฯหนั่น ไปพบกับทักษิณ อันมีฉากหลังคืองานบุญที่ทำในนามของหน่วยงานราชการไทย มันเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ?

หลังล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินไปยังเวทีของพรรคเพื่อไทยเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่จัดกันที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี เมืองหลวงคนเสื้อแดงในอีสาน ที่มีการพูดถึงเสธฯหนั่นอย่างออกหน้าออกตาและพูดถึงเรื่องการปรองดองอย่างร้อนแรง อันตีความได้ไม่ยากว่า ทักษิณกับเสธฯหนั่น น่าจะได้คุยกันแล้ว ก่อนที่โฟนอินดังกล่าวจะเกิดขึ้น

“เราต้องหันหน้าเข้าหากัน ควรเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง คนตายต้องได้รับการชดเชยหลายล้านบาท คนบาดเจ็บสาหัสต้องชดเชย คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกจับติดคุก ก็ต้องชดเชย วันนี้ไม่ต้องเลือกสีใด แต่ต้องเยียวยา เพื่อให้แผลจากความขัดแย้งได้หายไปจากสังคม แล้วเรามาสร้างชาติกัน

วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการให้ประเทศไปสู่ความปรองดองให้ได้ พล.ต.สนั่นเอาจริงเอาจังมาก พยายามเดินให้เกิดความปรองดองให้ได้ วันนี้ใครขัดขวางเรื่องนี้แสดงว่าคนนั้นเห็นแก่ตัวอย่างบัดซบ ผมเป็นคนโดน แต่พร้อมยอมกลืนความเจ็บปวด เพื่อให้คนไทยมีความสุข ผมจะไม่เป็นอะไร ถ้าคนไทยมีความสุข ผมก็มีด้วย"

สถานการณ์แบบนี้ มันต้องฟังหูไว้หู ไม่รู้ว่า ชั่วโมงนี้ เสธฯหนั่นกับทักษิณ คิดอะไรกันอยู่และทั้งสองคนมีข้อตกลงลับอะไรกันหรือไม่ เนื่องจากเสธฯหนั่นถือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋า คิดและทำอะไร ประชาชนต้องมองหลายชั้น อ่านหลายทาง โดยเฉพาะผลประโยชน์ได้-เสีย ที่ตัวเสธฯหนั่นจะได้รับ หลังจากเล่นบท คนกลางนักปรองดองมาหลายเดือน ในการเล่นเดินสายไปทั่ว เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายเสื้อแดง ที่ถึงบุกเรือนจำไปพบแกนนำเสื้อแดงอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำนปช.

จากนั้น พอเริ่มจุดกระแสติด ก็บุกไปพบตัวแทนพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคเช่น เพื่อไทย -เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนา -ประชาราช หรือพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. ณ ที่ทำการพรรคมาตุภูมิ รวมถึงการพบสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯเสื้อเหลืองที่บ้านพระอาทิตย์

ซึ่งทุกครั้งเสธฯหนั่นจะทำทีว่า มาขอรับฟังความคิดเห็นเรื่องการหาทางสร้างความปรองดอง โดยไม่หวังผลทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนก่อนหน้านี้ ที่กระแสคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ดูจะออกมาในทางไม่เป็นผลดีกับพรรคและอภิสิทธิ์ เนื่องจากหลายคนแม้แต่คนในประชาธิปัตย์ดูจะไม่มั่นใจว่าประชาธิปัตย์จะรอด จึงทำให้แวดวงการเมืองพูดกันถึงเรื่อง “นายกฯสำรอง”

ยิ่งเมื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรีไปลงสมัครส.ส.ที่สุราษฏรธ์ธานี ก็ยิ่งทำให้เรื่อง “นายกฯสำรอง”ดังขึ้นเรื่อยๆ และบทบาทของเสธหนั่นในฐานะนักปรองดองที่ออกมาในช่วงนั้น ก็เลย ทำให้เสธฯหนั่น ถูกมองว่าเพื่อหวังเดินสายขอคะแนนเสียงจากทุกพรรคไม่เว้นแม้แต่เพื่อไทย ในการเตรียมเป็น “นายกฯสำรอง”จนเสธฯหนั่นต้องออกมาปฏิเสธยกใหญ่

อย่างไรก็ตาม กระแสคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ตีกลับทันทีหลังเกิดกรณีคลิปลับที่ทำให้หลายคนเริ่มจะมองว่า”ประชาธิปัตย์รอด”บทบาทนักปรองดองของเสธฯหนั่นก็เงียบหายไปทันที

ข้อเท็จจริงของ “บทสนทนาที่นอร์เวย์”ระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี กับ นักโทษชาย ทักษิณ เชื่อเถอะว่า ไม่มีทางที่จะมีการเปิดเผยออกมาทั้งหมด
แต่สิ่งที่ทักษิณได้แล้ว คือการตบหน้ารัฐไทย-รัฐบาลไทย-กระบวนการยุติธรรมของไทย ด้วยการเอาเสธหนั่นมารับรองความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ไม่อย่างนั้นคงไม่สั่งให้นพดลรีบชิงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเสธฯหนั่น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะไม่แน่เสธฯหนั่นอาจต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของการพูดคุยแบบสองต่อสอง ไม่อยากให้ใครรับรู้โดยเฉพาะคนที่เมืองไทย
การอาสามาทำงานเรื่องนี้ มีหรือเสธฯหนั่นจะไม่รู้ว่า ถึงตอนนี้ โอกาสในการปรองดองกับทักษิณ-เสื้อแดง มันแทบจะไม่เหลือความเป็นไปได้เลย ตราบใดที่ทักษิณ ยังไม่ยอมมาเข้าคุกในประเทศไทย ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้

ซึ่งเมื่อเสธฯหนั่นก็รู้ เงื่อนไขตรงนี้ดี แล้วทำไมต้องไปญาติดีกับทักษิณ คนที่วางแผนทุกอย่างเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ประเทศไทย

แท้จริงแล้ว พล.ต.สนั่นคิดและต้องการอะไร

-----------------